<img src="https://storage.googleapis.com/prod-big-blue-ocean-storage/uploads/3_Factor_241075739a/3_Factor_241075739a.jpg" alt="3Factor.jpg">ปัจจุบันโลกาภิวัฒน์ทำให้ไม่ว่าจะมีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้นบนโลกจะส่งผลกระทบไปทั่วโลกและอาจกระทบข้ามอุตสาหกรรมด้วย ตัวกระตุ้นของการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้เพราะผู้คนเชื่อมโยงกันบนดิจิทัล นี่จึงเป็นความท้าทายของผู้นำองค์กรที่จะปรับตัวอย่างไรให้ตามกระแสโลกาภิวัฒน์และพาองค์กรเติบโตต่อไปได้ องค์กรทั่วโลกกำลังหันมาใช้ดิจิทัลเป็นช่องทางหลักในกิจกรรมต่างๆ ทั้งเป็นช่องทางสร้างรายได้ และเปลี่ยนการทำงานมาอยู่บนดิจิทัลมากขึ้น สรุปประเด็นความรู้จากคุณพชร อารยะการกุล CEO บริษัท Bluebik Group ที่ได้มาถ่ายทอดสิ่งสำคัญที่ผู้นำต้องโฟกัสหากต้องการปรับเปลี่ยนองค์กรผ่าน Digital Transformation ในหลักสูตร The Big Blue Ocean รุ่นที่ 2 โดยมีปัจจัยดังต่อไปนี้ 1) Digital Ecosystem เลือกลงทุนในเทคโนโลยีที่สามารถสร้าง Ecosystem ให้กับองค์กร เทคโนโลยีที่กำลังน่าสนใจในปี 2023 คือ AI ที่มีการพัฒนาก้าวล้ำมากขึ้นทุกวัน ผู้นำต้องรู้ว่า AI สามารถทำอะไรได้บ้างเพื่อเอามาปรับใช้กับธุรกิจและรู้เท่าทันภัยอันตรายที่มาพร้อมกับ AI 2) Digital Immunity and Trust ภัยหลากหลายรูปแบบบนโลกดิจิทัลอาจเกิดขึ้นกับเราเมื่อไหร่ก็ได้ ผลของมันอาจทำให้ธุรกิจหยุดชะงักไปจนถึงศูนย์เสียความเชื่อมั่นจากลูกค้า ผู้นำจึงต้องติดตั้งเครื่องมือที่ช่วยด้านความปลอดภัยโดยเลือกรูปแบบที่เหมาะสมกับธุรกิจ อัพเดตระบบสม่ำเสมอ สำรองเก็บข้อมูลสำคัญ ตลอดจนจัดเตรียมมาตรการรับมือเมื่อเกิดเหตุการณ์ 3) Sustainability Technologies ทั่วโลกได้หยิบยกความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมเป็นหนึ่งในพันธกิจที่องค์กรต้องรับผิดชอบ ปัจจุบันองค์กรใหญ่หลายแห่งให้ความสำคัญและลงทุนจำนวนมากกับเทคโนโลยีด้านสังคมสิ่งแวดล้อมโดยมองเป็นแผนระยะยาว แม้ว่าองค์กรขนาดเล็กบางแห่งอาจจะยังมองข้ามสิ่งเหล่านี้แต่เมื่อธุรกิจเติบโตขึ้น เชื่อได้เลยว่าการลงทุนเทคโนโลยีที่ปรับใช้กับสิ่งนี้ได้จะเป็นการเลือกที่คุ้มค่า และสามารถนำความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมมาเป็นจุดเด่นทางการแข่งขันในตลาดได้อีกด้วย หรือแม้แต่การเลือก 3rd party ที่มีภาพลักษณ์ด้านสังคมและสิ่งแวดล้อมก็ส่งผลต่อภาพลักษณ์ขององค์กรด้วยเช่นเดียวกัน

ผู้นำต้องรู้ 3 ปัจจัยง่ายๆ ในการเปลี่ยนองค์กรผ่าน Digital Transformation

<img src="https://storage.googleapis.com/prod-big-blue-ocean-storage/uploads/cloud_computing_be25b82e76/cloud_computing_be25b82e76.jpg" alt="cloud-computing.jpg">ถามว่า Cloud Computing คืออะไร..<img src="https://static.xx.fbcdn.net/images/emoji.php/v9/td3/1.5/16/2753.png" alt="❓"> -------------------------------- <img src="https://static.xx.fbcdn.net/images/emoji.php/v9/taa/1.5/16/1f449.png" alt="👉"> ปัจจุบันหลากหลายองค์กรหันมาใช้ระบบคลาวด์กันมากขึ้น เพราะระบบนี้สามารถใช้เป็นตัวช่วยจัดเก็บและจัดการข้อมูลของบริษัทได้ง่ายและสะดวกมากกว่าเดิม ไม่ว่าจะเป็นบริษัทขนาดเล็กหรือใหญ่ก็สามารถใช้ระบบคลาวด์เป็นพื้นที่จัดเก็บได้หลากหลายตามความต้องการ เช่น พื้นที่เก็บข้อมูล, Hardware, ฐานข้อมูล, ฯ ซึ่งโดยปกติระบบคลาวด์จะใช้ผ่านอินเทอร์เน็ต ข้อดีคือช่วยให้องค์กรสามารถเข้าถึงและจัดเก็บข้อมูลได้ง่าย ไม่จำเป็นต้องจัดการโครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีของตัวเองให้วุ่นวาย พร้อมทั้งปัจจัยในเรื่องของผู้บริโภคที่ต้องการเข้าถึงข้อมูลผ่านทางออนไลน์มากขึ้น ทำให้ระบบคลาวด์สามารถเข้ามาตอบโจทย์เรื่องการจัดการข้อมูลทางธุรกิจทั้งขนาดเล็กและใหญ่ได้มากกว่า พร้อมทั้งสามารถเลือกใช้ได้ทั้งแบบสาธารณะ, ส่วนตัว, หรือแบบไฮบริด อีกด้วย Cloud Computing หรือระบบคลาวด์ มีทั้งหมด 3 รูปแบบหลักที่ให้บริการ 1. IaaS (Infrastructure as a Service) : เป็นรูปแบบการบริการผ่านอินเทอร์เน็ตที่สามารถเข้าถึงได้ทั้งพื้นที่จัดเก็บข้อมูล, ระบบเครือข่าย และระบบ Virtualization 2. PaaS (Platform as a Service) : เป็นพื้นที่ให้บริการด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ที่จำเป็นสำหรับใช้พัฒนาแอปพลิเคชันบนระบบคลาวด์ 3. SaaS (Software as a Service) : เป็นระบบที่ให้บริการด้านแอปพลิเคชันเต็มรูปแบบบนการบริการระบบคลาวด์ รองรับตั้งแต่การบำรุงรักษาและการจัดการโครงสร้างพื้นฐานไปจนถึงซอฟต์แวร์ของแอปพลิเคชัน ระบบคลาวด์เป็นอีกหนึ่งทางที่จะช่วยให้องค์กรของคุณสามารถทำงานได้รวดเร็วและคล่องตัวมากขึ้น พร้อมทั้งยังสามารถสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ให้กับธุรกิจได้อีกด้วย ! ไม่ว่าธุรกิจของคุณจะขนาดเล็กหรือใหญ่ก็สามารถเปลี่ยนมาใช้ระบบคลาวด์เพื่อตอบโจทย์การทำงานที่ง่ายกว่า บอกเลยว่าระบบคลาวด์จะเป็นอีกหนึ่งส่วนสำคัญที่จะช่วยให้ธุรกิจคุณรักษาความสามารถในการแข่งขันบนโลกดิจิทัลในปัจจุบันได้มากกว่าที่คิด ! &nbsp;

เปิด 6 ประโยชน์ Cloud Computing ช่วยธุรกิจให้ง่ายได้มากกว่า

<img src="https://storage.googleapis.com/prod-big-blue-ocean-storage/uploads/Online_MKT_c4610f5243/Online_MKT_c4610f5243.jpg" alt="OnlineMKT.jpg"> การทำการตลาดออนไลน์ให้ตอบโจทย์เป้าหมายที่วางไว้ ต้องเข้าใจพฤติกรรมกลุ่มเป้าหมาย และวางกลยุทธ์ให้เหมาะสม การตลาดออนไลน์มีประโยชน์มากมายกับธุรกิจไม่ว่าจะเป็น การสร้าง Brand Awareness ทำให้แบรนด์เป็นที่รู้จัก สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า ที่สำคัญการตลาดออนไลน์สามารถวัดผลได้ คุณณธิดา รัฐธนาวุฒิ ผู้ก่อตั้ง Marketing Oops ผู้เชี่ยวชาญด้านการทำการตลาดออนไลน์ ได้มาให้ความรู้เรื่อง Digital Marketing การทำการตลาดออนไลน์ที่ผู้นำต้องรู้ กับทางหลักสูตร The Big Blue Ocean รุ่นที่ 2 เคล็ดลับการทำการตลาดออนไลน์ให้สำเร็จก็คือ การวางกลยุทธ์ (Strategy) ที่เหมาะสมกับธุรกิจซึ่งจะนำไปสู่เป้าหมายที่วางไว้ กลยุทธ์ที่ดีสามารถสร้างลูปการทำงานให้กับธุรกิจในระยะยาว ทำให้ผู้นำและนักการตลาดไม่ต้องเหนื่อยกับการทำงานใหม่ทั้งหมด ผู้นำอาจไม่ใช่คนทำการตลาดด้วยตัวเอง แต่ผู้นำจำเป็นต้องรู้ภาพรวมทั้งหมดเพื่อเข้าใจกระบวนการที่กำลังทำ ว่ามุ่งตรงไปหาเป้าหมายอย่างถูกทางหรือไม่ และวัดผลความสำเร็จของการทำการตลาดได้ ในการวางกลยุทธ์ ต้องเริ่มจาก การวางเป้าประสงค์ กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ตัวชี้วัด ระยะเวลา และงบประมานที่ชัดเจน การวาง brand positioning โดยดูจากคุณค่าของแบรนด์ที่มีต่อลูกค้าในการแก้ปัญหาต่างๆที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า การศึกษาเก็บข้อมูลเพิ่มเติมจากพฤติกรรมของลูกค้า การวางกลยุทธ์ด้านเพื่อเลือกคอนเทนต์ในการสื่อสาร และช่องทางที่เหมาะสมในการสื่อสาร การทำแคมเปญให้สอดคล้องกับกลยุทธ์และเป้าประสงค์ทางการตลาด ตลอดจนการติดตามวัดผลแคมเปญที่ทำ เพื่อนำผลตอบรับที่ได้มาคิดวางกลยุทธ์ต่อไป ทั้งนี้ช่องทางทำการการตลาดออนไลน์ในปัจจุบันมีหลากหลายช่องทางเช่น Facebook, TikTok, LINE ธุรกิจควรเลือกใช้ช่องทางใดนั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยหลักๆคือ พฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมายที่เราต้องการจะสื่อสาร และ ต้องรู้จักธุรกิจของเรา (Brand Positioning) เป็นอย่างดี ผู้นำและนักการตลาดควรรู้จักเครื่องมือ (Tools) และช่องทางต่างๆ (Channel) เพื่อให้การลงทุนทำการตลาดนั้นคุ้มค่าและมีประสิทธิภาพมากที่สุด หากเลือกเครื่องมือและช่องทางที่ถูกต้องได้แล้วจะพบว่า บางครั้งการกระจายเงินทำการตลาดทุกช่องทางอาจมีประสิทธิภาพน้อยกว่าลงทุนยิงโฆษณาในช่องทางที่ถูกต้องเพียงช่องทางเดียว พฤติกรรมของผู้บริโภคในยุคดิจิทัล นอกจากจะแบ่งผู้บริโภคออกตามลักษณะนิสัยของผู้บริโภคแล้วยังเชื่อมโยงพฤติกรรมกับการใช้อินเทอร์เน็ตได้ด้วย ยกตัวอย่างพฤติกรรมการใช้อินเทอร์เน็ตของพนักงานบริษัทในปัจจุบันแบ่งออกได้เป็น 3 ช่วง 1) ขณะกำลังรอหรือขณะเดินทาง เป็นช่วงเวลาสั้นๆ ที่จะหยิบโทรศัพท์ จึงต้องการรับข่าวสารแบบสั้นกระชับ 2) ขณะพักทานข้าว ช่วงเวลาที่สามารถใช้อินเทอร์เน็ตได้นานขึ้นมาหน่อย 3) ขณะพักผ่อน ช่วงกลับถึงบ้านที่สามารถใช้อินเทอร์เน็ตได้นานพร้อมจะรับข่าวสารที่ยาวและหนักขึ้นได้ การสังเกตุ Movement ต่างๆ ของผู้บริโภค ช่วยให้นักการตลาดคิดคอนเทนต์ที่สื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายได้อย่างถูกที่และถูกเวลา

เคล็ดลับ การทำการตลาดออนไลน์ง่ายๆ ที่ผู้นำต้องรู้ !

<img src="https://storage.googleapis.com/prod-big-blue-ocean-storage/uploads/Feedbackteam_557b77b350/Feedbackteam_557b77b350.jpg" alt="Feedbackteam.jpg">การให้ฟีดแบคนั้นเป็นทักษะสำคัญอย่างหนึ่งของผู้นำที่จะช่วยให้ลูกทีมได้เติบโตและพัฒนาตัวเอง อย่างไรก็ตามการให้ฟีดแบคอย่างมีประสิทธิภาพนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายนัก หลายคนมักจะผิดพลาดในขั้นตอนนี้จนทำให้ฟีดแบคที่ออกไปไม่ได้มีประโยชน์นัก หรือบางทีก็เป็นฟีดแบคที่รุนแรง และไม่ได้ก่อให้เกิดการพัฒนา ในบทความนี้มาจะเตือน 5 สิ่งที่ผู้นำไม่ควรทำตอนให้ฟีดแบค <img src="https://static.xx.fbcdn.net/images/emoji.php/v9/t5/1.5/16/1f4cc.png" alt="📌">ฟีดแบคที่คลุมเครือ หรือค่อนข้างจะเป็นเรื่องทั่วไป หนึ่งในฟีดแบคที่แสนจะคลุมเครือและทั่วไป ก็คือการบอกว่า “ทำได้ดีมาก” หรือ “คุณต้องทำงานหนักขึ้นอีกนะ” โดยไม่ได้อธิบาย แนะนำ หรือยกตัวอย่างอะไรที่ชัดเจนจับต้องได้เลย ฟีดแบคในลักษณะนี้ทำให้ผู้ฟังไม่ได้รู้ว่าตัวเองทำดีตรงไหน และตรงไหนที่ต้องปรับปรุง หรือว่าควรจะทำอย่างไร ซึ่งทั้งหมดนี้ก่อให้เกิดความสับสน หงุดหงิด หรือขาดแรงกระตุ้น วิธีที่ดีคือใช้หลัก STAR เพื่ออธิบาย คือ การใหฟีดแบคโดยอธิบายตาม Situation (สถานการณ์), Task (งาน), Action (การกระทำ), และ Result (ผลลัพธ์) แล้วจึงให้คำแนะนำสำหรับพัฒนาที่ชัดเจน <img src="https://static.xx.fbcdn.net/images/emoji.php/v9/t5/1.5/16/1f4cc.png" alt="📌">พูดเชิงลบ หรือรุนแรง ฟีดแบคที่ไม่ดีคือการพูดในเชิงลบ เช่น การวิจารณ์ที่ตัวบุคคลนั้นๆ แทนที่จะพูดเรื่องพฤติกรรม การใช้คำว่า “ทุกครั้ง” หรือ “ไม่เคย” หรือการพยายามโจมตีอีกฝ่ายและตัดสินคนๆ นั้นไปแล้ว เป็นการให้ฟีดแบคที่ทำลายความเชื่อมั่นในตัวเอง และทำลายความสัมพันธ์ ทั้งยังอาจทำให้เกิดพฤติกรรมต่อต้าน คุณต้องให้ฟีดแบคในด้านบวกและสร้างสรรค์ ใช้กลยุทธ์แบบแซนด์วิชคือ เริ่มพูดจากสิ่งดีๆ ก่อน แล้วเสริมด้วยฟีดแบคด้านลบไว้ตรงกลาง ก่อนจะปิดด้วยคำพูดด้านบวก และให้จำไว้ว่าให้พูดฟีดแบคด้านบวกอย่างน้อย 3 อย่าง ต่อการพูดฟีดแบคด้านลบ 1 อย่าง และท้ายที่สุดให้พูดในเชิงมุมมองของคุณเอง จากความรู้สึก จากการสังเกตของคุณ ไม่ใช่ไปโยนให้คนอื่น <img src="https://static.xx.fbcdn.net/images/emoji.php/v9/t5/1.5/16/1f4cc.png" alt="📌">ไม่ทันเวลา หรือ ไม่บ่อยนัก การทิ้งเวลานานๆ แล้วค่อยมาให้ฟีดแบค หรือการให้ฟีดแบคแค่ครั้งเดียวต่อปี หรือให้ฟีดแบคเมื่อมีเรื่องแย่ๆ เป็นวิธีการให้ฟีดแบคที่ไม่ค่อยดีนัก และแน่นอนว่ามักทำให้ผู้รับรู้สึกเพิกเฉย และไม่สนใจ หรืออาจจะจำในสิ่งที่ทำลงไปไม่ได้แล้วด้วยซ้ำ ดังนั้นคุณต้องให้ฟีดแบคในเวลาที่เหมาะสม และสม่ำเสมอ ไม่ใช่แค่ในตอนที่รู้สึกว่าเกิดปัญหาเท่านั้น <img src="https://static.xx.fbcdn.net/images/emoji.php/v9/t5/1.5/16/1f4cc.png" alt="📌">ฟีดแบคทางเดียว การให้ฟีดแบคแบบเอาแต่พูดอยู่ฝ่ายเดียว ไม่รับฟัง หรือไม่ปล่อบให้ผู้รับฟีดแบคได้โต้ตอบสอบถามอะไรบ้างเลย จะทำให้ผู้รับฟีดแบครู้สึกว่าตัวเองไม่ได้รับการเคารพ เบื่อ หรือหนักใจ คุณต้องให้ฟีดแบคด้วยความเข้าใจ ยอมรับ ระลึกไว้ว่าแต่ละคนมีมุมมองของตัวเอง หรืออาจจะต้องการการอธิบายเพิ่มเติม นอกจากนี้ควรเป็นการสนทนาทั้งสองทาง คือเมื่อให้ฟีดแบคไปแล้ว ก็ต้องเปิดโอกาสให้อีกฝ่ายได้แชร์ความคิดเห็น ความรู้สึกของตัวเองด้วยเหมือนกัน แล้วคุณก็ต้องฟังอย่างเข้าอกเข้าใจ <img src="https://static.xx.fbcdn.net/images/emoji.php/v9/t5/1.5/16/1f4cc.png" alt="📌">ไม่สอดคล้องกัน หรือขัดแย้งกัน การให้ฟีดแบคเมื่อวานแบบหนึ่ง วันนี้แบบหนึ่ง พรุ่งนี้อีกแบบหนึ่ง หรือให้ฟีดแบคต่างกันขึ้นอยู่กับว่าอีกคนหนึ่งเป็นใคร เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ และจะทำให้ผู้รับฟังรู้สึกสับสน ไม่เชื่อมั่น ความน่าเชื่อถือในฐานะผู้นำของคุณก็จะลดลงไป และกลายเป็นเกิดความขัดแข้งกันในทีมอีก จำไว้ว่าทุกครั้งที่ให้ฟีดแบคต้องสอดคล้องกัน คนที่ทำพฤติกรรมคล้ายๆ กัน ความสามารถคล้ายๆ กัน ก็ต้องได้รับฟีดแบคที่คล้ายกัน ไม่มีการเลือกที่รักมักที่ชัง แล้วที่สำคัญคือฟีดแบคนั้นต้องสอดคล้องกับการกระทำของตัวคุณเองด้วยเหมือนกัน &nbsp;

5 สิ่งที่ผู้นำไม่ควรทำ ตอนให้ฟีดแบคลูกทีม

<img src="https://storage.googleapis.com/prod-big-blue-ocean-storage/uploads/Eisenhower_Matrix_42857fa938/Eisenhower_Matrix_42857fa938.jpg" alt="Eisenhower Matrix .jpg">“ทำไมพี่คนนั้นเขาดูยุ่งตลอดเวลาเลยนะ?” การทำตัวยุ่งๆ ตลอดเวลา ไม่ได้หมายความว่าคุณเป็นคน Productive เสมอไป คุณอาจจะรู้สึกว่าทำงานยุ่งแทบตายวันละหลายชั่วโมง แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่ได้บรรลุเป้าหมายระยะยาวอะไรเลย ทั้งเหนื่อย และเสียเวลาเปล่า . นั่นคือปัญหาจากการจัดลำดับความสำคัญที่ไม่ดี คนเรามักจะรู้สึกว่าต้องจัดการอะไรที่เวลาบีบคั้นกว่าเสมอ แทนที่จะทำงานที่จะช่วยให้บรรลุเป้าหมายระยะยาวได้ พอเอาแต่สนใจทำงานงานเร่ง งานด่วน งานงานด่วนมาก งานด่วนที่สุด สุดท้ายแล้วคุณอาาจจะหลงลืมงานสำคัญๆ ที่ต้องทำไปเลย . <img src="https://static.xx.fbcdn.net/images/emoji.php/v9/t5/1.5/16/1f4cc.png" alt="📌">แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าควรทำอะไรก่อนอะไรหลังล่ะ? Eisenhower Matrix คือเมทริกซ์ง่ายๆ ที่ช่วยในการตัดสินใจเลือกระหว่างงานด่วน งานไม่ด่วน งานสำคัญ งานไม่สำคัญ ทำให้คุณรู้ว่างานไหนควรโฟกัสอย่างแรก งานไหนควรส่งตัวแทน หรืองานไหนไม่ควรทำ เทคนิคนี้ปรากฎอยู่ในหนังสือขายดีของ Stephen Covey ที่ชื่อว่า The 7 Habits of Highly Effective People และหลายคนก็น่าจะคุ้นชื่อเทคนิคนี้ เพราะมันถูกตั้งตามชื่อของ Dwight D. Eisenhower ประธานาธิบดีคนที่ 34 ของสหรัฐฯ ที่ขึ้นชื่อในเรื่องผลงานและความมีระเบียบ ประธานาธิบดี Eisenhower มักจะจัดระเบียบงานต่างๆ จนทำให้บนโต๊ะทำงานของเขาจะมีแค้สิ่งที่สำคัญ และสิ่งที่เร่งด่วนเท่านั้น Eisenhower Matrix ก็เลยใช้วิธีการแบ่งงานออกเป็น 4 ประเภท คือ <img src="https://static.xx.fbcdn.net/images/emoji.php/v9/t93/1.5/16/31_20e3.png" alt="1️⃣"> งานด่วน และสำคัญ : ทำเป็นอย่างแรก <img src="https://static.xx.fbcdn.net/images/emoji.php/v9/tb2/1.5/16/32_20e3.png" alt="2️⃣"> งานไม่ด่วน แต่สำคัญ : กำหนดไว้ทำภายหลัง <img src="https://static.xx.fbcdn.net/images/emoji.php/v9/td1/1.5/16/33_20e3.png" alt="3️⃣"> งานด่วน แต่ไม่สำคัญ : ส่งตัวแทนไปทำแทน <img src="https://static.xx.fbcdn.net/images/emoji.php/v9/tf0/1.5/16/34_20e3.png" alt="4️⃣"> งานไม่ด่วน และไม่สำคัญ : ไม่ต้องทำ . ลองตั้งคำถามกับแต่ละงานแล้วแบ่งประเภทงานไว้แบบนี้ จะช่วยให้คุณมองเห็นภาพได้ว่าคุณควรโฟกัสอะไร และไม่ควรโฟกัสอะไร จะได้ไม่หลงทางใช้เวลาเป็นวันๆ ทำแต่งานไม่สำคัญแล้วคิดไปเองว่าตัวเอง Productive เพราะดูยุ่งๆ ทั้งที่จริงแล้วไม่ได้เกิดประโยชน์ต่อเป้าหมายในระยะยาวเลย

Eisenhower Matrix เทคนิคจัดลำดับความสำคัญในการทำงาน

<img src="https://storage.googleapis.com/prod-big-blue-ocean-storage/uploads/shopping_ai_b79712f632/shopping_ai_b79712f632.jpg" alt="shopping-ai.jpg"><img src="https://static.xx.fbcdn.net/images/emoji.php/v9/t75/1.5/16/1f6d2.png" alt="🛒"> AI ช่วยเหล่านักช้อปหาสินค้าได้ง่ายๆ แค่มี “รูปภาพ”สำหรับนักช้อปยุคนี้บอกเลยว่า ‘เสียเงินง่ายกว่าเดิมแน่ๆ’ เพราะแค่เรานำภาพสินค้าที่อยากได้ไปเสิร์ชบนแอปช้อปปิ้งทั้งหลาย เหล่า AI ก็สามารถช่วยคุณหาสินค้าที่คล้ายหรือเหมือนกับสิ่งที่คุณอยากได้เป๊ะๆ ภายในไม่กี่นาที<img src="https://static.xx.fbcdn.net/images/emoji.php/v9/t75/1.5/16/1f6d2.png" alt="🛒"> ใช้สร้างยอดขายด้วยภาพสินค้าจาก AI Generatorสำหรับนักขาย AI ก็มีประโยชน์เช่นกัน เพราะต่อจากนี้ไม่ต้องกลัวว่าภาพสินค้าในร้านจะไม่สวยจนคนไม่อยากซื้ออีกต่อไป เราสามารถใช้ AI Generator สร้างรูปภาพที่สวยและดึงดูดเพื่อให้ลูกค้าประทับใจและอยากกดซื้อสินค้าได้มากกว่าเดิมอย่างแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซชื่อดัง Amazon ก็มี Amazon AI Image Generator ตัวช่วยในการรังสรรค์การตกแต่งภาพสินค้าสวยๆ โดยเป็นตัวที่สร้างมาเพื่อเอื้อต่อเหล่าพ่อค้าแม่ค้าที่เข้าร่วมแคมเปญโฆษณากับทาง Amazon นั่นเอง<img src="https://static.xx.fbcdn.net/images/emoji.php/v9/t75/1.5/16/1f6d2.png" alt="🛒"> AI ช่วยกำหนดกลุ่มเป้าหมายให้เป๊ะมากกว่าเดิมแน่นอนว่าในตลาด e-Commerce ต้องมีการ Retargeting เพื่อหากลุ่มเป้าหมายลูกค้าที่ตรงกับสินค้าเราให้ได้มากที่สุด ตอนนี้เราสามารถให้ AI เข้ามาช่วยวิเคราะห์ข้อมูลของกลุ่มลูกค้าในปัจจุบัน เพื่อนำไปกำหนดกลุ่มเป้าหมายใหม่ที่ตรงและมีแนวโน้มจะซื้อสินค้าเราได้มากขึ้น การวิเคราะห์หากลุ่มเป้าหมายที่ตรงกว่าเดิม จะช่วยให้คุณสามารถสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายได้ตรงจุดและสร้างยอดขายได้มากยิ่งขึ้น<img src="https://static.xx.fbcdn.net/images/emoji.php/v9/t75/1.5/16/1f6d2.png" alt="🛒"> กรอง Fake Review สร้างความน่าเชื่อถือด้วย AIสำหรับนักช้อป ‘รีวิว’ แทบจะเป็นปัจจัยหลักในการเลือกซื้อสินค้าจากร้านนั้นๆ เพราะกว่า 90% ของเหล่านักช้อปตัดสินใจซื้อสินค้าจากการอ่านรีวิวก่อน แต่ถ้าหากเหล่านักช้อปทั้งหลายเห็นว่ามี ‘รีวิวปลอม’ มาโผล่ อาจทำให้พวกเขาตัดสินใจเปลี่ยนร้านและทำให้ร้านนั้นๆ เสียยอดขายไปได้ทันที !Amazon ก็ได้มีการหาตัวช่วยมาแก้ไขปัญหา Fake Review นี้ โดยการใช้ AI-powered algorithm เข้ามาช่วยตรวจจับรีวิวปลอมจากการซื้อของลูกค้า พร้อมทำเครื่องหมายยืนยันในรีวิวจริงว่า “รีวิวนี้มีประโยชน์” เพื่อให้ลูกค้าสามารถแยกได้ และเป็นการสร้างความไว้วางใจให้กับทั้งตัวแพลตฟอร์มรวมไปถึงตัวร้านค้าในเวลาเดียวกัน<img src="https://static.xx.fbcdn.net/images/emoji.php/v9/t75/1.5/16/1f6d2.png" alt="🛒"> AI เข้ามาช่วยคำนวณจำนวนสินค้าที่ควรสต็อกให้แม่นยำขึ้น !หลายๆ ร้านค้าที่ขายสินค้าผ่านทางออนไลน์อาจเคยเจอปัญหาการสต็อกสินค้ามากหรือน้อยเกินไปอยู่บ่อยๆ แต่ปัญหาเหล่านั้นสามารถแก้ได้ด้วยการใช้ AI เข้ามาช่วยคำนวณ ! เพราะไม่ว่าพ่อค้าแม่ค้าทั้งรายเล็กหรือรายใหญ่ AI ก็สามารถเข้ามาช่วยวิเคราะห์ปริมาณอุปสงค์ได้อย่างแม่นยำ เพื่อเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการสินค้า ลดปัญหาการสต็อกสินค้าที่มากหรือน้อยเกินไปได้ทันที<img src="https://static.xx.fbcdn.net/images/emoji.php/v9/t75/1.5/16/1f6d2.png" alt="🛒"> คำนวณราคาสินค้าที่สามารถแข่งกับคู่แข่งได้แบบ Real-timeยุคนี้ AI สามารถเข้ามาช่วยเหล่าพ่อค้าแม่ค้าวิเคราะห์ราคาสินค้าเทียบกับราคาในตลาดได้แบบไม่ต้องเสียเวลาไปนั่งหาและคำนวณเองอีกต่อไป เรียกว่าเป็นการกำหนดราคาสินค้าแบบไดนามิกเลยก็ว่าได้ เพราะ AI สามารถเข้ามาช่วยคุณเปลี่ยนแปลงราคาขายตามราคาตลาด และรักษาความสามารถในการแข่งขันในตลาดออนไลน์ได้แบบ Real-time<img src="https://static.xx.fbcdn.net/images/emoji.php/v9/t75/1.5/16/1f6d2.png" alt="🛒"> AI ตรวจจับได้ว่า “สินค้าไหนของปลอม”เมื่อเราอยากซื้อสินค้าแบรนด์เนมบนโลกออนไลน์ แน่นอนว่าความต้องการนั้นมาพร้อม ‘ความเสี่ยง’ ที่จะเจอของปลอมได้ทุกเมื่อ แต่ปัจจุบัน AI สามารถเข้ามาช่วยคุณลดความเสี่ยงนั้นได้แล้ว ! ด้วยการตรวจจับรายละเอียดเล็กๆ บนภาพของสินค้าที่ตาเราไม่สามารถมองเห็นได้ยกตัวอย่างเช่น Amazon ก็ได้มีการเปิดตัว Big Data Anti-Counterfeiting Alliance ในปี 2017 เพื่อตรวจจับการปลอมสินค้ากับแบรนด์ที่เป็นพันธมิตร เช่น Louis Vuitton, Swarovski เป็นต้น

7 สิ่งที่เปลี่ยนไป หลังมี AI เข้ามาในโลกของการ Shopping

ปฏิเสธไม่ได้ว่าแม้คุณจะเป็นผู้นำที่ขยันมากสักแค่ไหน แต่การมีลูกทีมที่ขี้เกียจ บางครั้งก็เป็นตัวฉุดรั้งไม่ให้ก้าวไปข้างหน้าได้เช่นกัน และในทุกๆ องค์กร ทุกๆ ทีมบนโลกใบนี้ ก็มักจะมีคนที่ขี้เกียจอยู่เสมอ ซึ่งหากคุณปล่อยไว้ ปัญหาคนขี้เกียจนี้อาจนำไปสู่ปัญหาอื่นๆ อันเป็นประเด็นอ่อนไหวในทีมได้ ดังนั้นคุณจำเป็นที่จะต้องจัดการกันปัญหาเหล่านั้นตั้งแต่แรก บทความนี้ The Big Blue จะแนะนำให้ทุกคนรู้จักกับ 10 วิธี รับมือกับลูกทีมที่ขี้เกียจ <img src="https://static.xx.fbcdn.net/images/emoji.php/v9/t5/1.5/16/1f4cc.png" alt="📌">เข้าหาลูกทีมอย่างมืออาชีพ อย่าด่วนตัดสินและสรุปทุกอย่างเองในทันที ก่อนอื่นเลยคุณควรจะนัดคุยกับลูกทีมคนนั้นตามขั้นตอนที่ควรจะเป็น และถามอย่างจริงใจ ด้วยความเข้าอกเข้าใจ พยายามทำความเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ลูกทีมถึงขี้เกียจ จากนั้นคุณถึงจะค่อยแก้ปัญหาให้ชัดเจน และอธิบายว่าการที่ลูกทีมขี้เกียจนั้นส่งผลกับประสิทธิภาพการทำงานโดยรวมของทีมอย่างไร ประเด็นสำคัญเลยคือต้องทำให้ลูกทีมคนนั้นรู้ว่าการกระทำของตนเองนั้นจะส่งผลอย่างไร <img src="https://static.xx.fbcdn.net/images/emoji.php/v9/t5/1.5/16/1f4cc.png" alt="📌">ช่วยให้ลูกทีมมองเห็นเป้าหมายที่ชัดเจน การกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนนั้นเป็นส่วนหนึ่งในเกือบทุกกลยุทธ์ เพราะมันเป็นเครื่องมือที่สร้างแรงกระตุ้น สร้างแรงผลักดันให้แก่ลูกทีม ซึ่งเป้าหมายนี้เองก็จะช่วยให้ลูกทีมทำงานอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และมีแรงกระตุ้นสูงขึ้นจากเป้าหมายที่ท้าทายแต่ก็ไม่ใช่เป้าหมายที่เกินเอื้อมเสียทีเดียว <img src="https://static.xx.fbcdn.net/images/emoji.php/v9/t5/1.5/16/1f4cc.png" alt="📌">ทบทวนหน้าที่ความรับผิดชอบของแต่ละคน หนึ่งในสาเหตุที่อาจทำให้ลูกทีมรู้สึกขี้เกียจหรือเบื่อหน่าย ก็คือการที่ไม่มีหน้าที่ หรืองานที่ต้องทำอย่างเพียงพอ ก็เลยทำงานไปวันๆ การทบทวนหน้าที่ความรับผิดชอบ และเพิ่มหน้าที่ให้ ก็จะช่วยกระตุ้นแรงจูงใจและประสิทธิภาพในการทำงานของลูกทีมให้ดียิ่งขึ้น เพราะเขาจะรู้สึกว่าตัวเองมีสิ่งที่ต้องรับผิดชอบ <img src="https://static.xx.fbcdn.net/images/emoji.php/v9/t5/1.5/16/1f4cc.png" alt="📌">จัดหาเครื่องมือเพื่อให้ลูกทีมบรรลุเป้าหมาย สำหรับลูกทีมบางคนที่อาจจะขี้เกียจเพราะไม่มีทรัพยากรในการทำงานที่เพียงพอ บางที่สิ่งที่ช่วยสร้างแรงกระตุ้นได้อาจจะเป็นการมีความรู้ที่มากขึ้น มีการเทรนนิ่งเยอะขึ้น มีอุปกรณ์การทำงานที่ดีขึ้น อย่างเช่นคอร์สฝึกภาษา การอบรมเกี่ยวกับการบริหารจัดงานเวลา การแพลนงาน หรือมีซอฟต์แวร์ใหม่ๆ ที่เข้ามาช่วยบริหารจัดการเวลาทำงานไม่ให้สูญเปล่า <img src="https://static.xx.fbcdn.net/images/emoji.php/v9/t5/1.5/16/1f4cc.png" alt="📌">ลองพูดเรื่อง Incentive และโอกาสเติบโตในสายงาน เมื่อมีเป้าหมายชัดแล้ว การให้ Incentive ที่เป็นตัวเงิน ก็เป็นหนึ่งในการสร้างแรงจูงใจชั้นดีเลยก็ว่าได้ เพราะบางทีสาเหตุของความขี้เกียจก็อาจจะมาจากตัวงานเสียเอง ลูกทีมบางคนอาจจะรู้สึกไม่มีแรงกระตุ้นมากพอเพราะทำงานซ้ำๆ เดิมๆ ทุกวัน อย่างหนึ่งที่อาจจะนำมาใช้เป็นแรงกระตุ้นได้ก็คือโอกาสเติบโตในหน้าที่การงาน ซึ่งก็จะทำให้ลูกทีมมีแรงจูงใจในการทำงานมากขึ้น <img src="https://static.xx.fbcdn.net/images/emoji.php/v9/t5/1.5/16/1f4cc.png" alt="📌">มี Session สำหรับให้ฟีดแบคกันเป็นอย่างสม่ำเสมอ การให้ฟีดแบคอย่างสม่ำเสมอนั้นเป็นเรื่องสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับลูกทีมที่ขี้เกียจและเริ่มตระหนักว่าตัวเองอาจจะโดนเรียกไปคุย โดยอาจจะจัดให้มีการให้ฟีดแบคทุกๆ 2 สัปดาห์ และแนะนำว่าควรเป็นการให้ฟีดแบคแบบตัวต่อตัว คุณต้องแสดงความสนใจในเรื่องที่พูดคุยให้มากๆ และอย่าลืมที่จะให้ลูกทีมฟีดแบคคุณเช่นเดียวกัน <img src="https://static.xx.fbcdn.net/images/emoji.php/v9/t5/1.5/16/1f4cc.png" alt="📌">พยายามเข้าใจเหตุผลเบื้องหลังพฤติกรรมขี้เกียจ คุณต้องถามลูกทีมด้วยความเข้าอกเข้าใจ เพื่อให้รู้ว่าอะไรคือเหตุผลเบื้องหลังที่ทำให้ลูกทีมมีประสิทธิภาพในการทำงานต่ำกว่ามาตรฐาน เนื่องจากบางทีลูกทีมแค่มีภาวะขี้เกียจชั่วคราวเนื่องจากปัญหาบางอย่าง ถ้าคุณรู้ปัญหานั้นแล้วช่วยจัดการให้ได้ก็จะทำให้ลูกทีมทำงานได้ดียิ่งขึ้น <img src="https://static.xx.fbcdn.net/images/emoji.php/v9/t5/1.5/16/1f4cc.png" alt="📌">รักษาทัศนคติต่อการทำงานที่ดีให้แก่ทีม ส่งเสริมให้มีการหยุดพักเพื่อออกกำลังบ้าง และมีการจัดหาขนม เครื่องดื่ม หรืออะไรที่พนักงานต้องการก็อาจจะทำให้พนักงานรู้สึกผ่อนคลาย หรืออาจจะเป็นเก้าอี้ดีๆ สักตัวที่ทำให้ทำงานได้สบายขึ้น <img src="https://static.xx.fbcdn.net/images/emoji.php/v9/t5/1.5/16/1f4cc.png" alt="📌">ใช้การเทรนนิ่งเป็นแรงจูงใจ ให้ให้โอกาสพนักงานเติบโตภายในองค์กร ผ่านรูปแบบของการเทรนนิ่งและทำเวิร์คช็อป เพราะบางครั้งที่ลูกทีมขี้เกียจอาจเกิดจากความรู้สึกเคว้ง หลงทาง ไม่รู้จะรู้ต้นจากตรงไหนก็เป็นได้ <img src="https://static.xx.fbcdn.net/images/emoji.php/v9/t5/1.5/16/1f4cc.png" alt="📌">ปล่อยให้ลูกทีมรับผลจากการกระทำของตัวเอง สุดท้าย คุณต้องทำให้ลูกทีมที่ขี้เกียจมองเห็นผลจากการกระทำของตัวเองด้วยบทลงโทษบางอย่างบ้าง ถึงแม้วิธีนี้อาจจะไม่ควรใช้บ่อย แต่บางครั้งมันก็ได้ผลดีเหมือนกัน &nbsp;

10 วิธี รับมือกับลูกทีมสาย "ขี้เกียจ"

<img src="https://storage.googleapis.com/prod-big-blue-ocean-storage/uploads/Disney_46e7cea779/Disney_46e7cea779.jpg" alt="Disney.jpg">Walt Disney ผู้เป็นทั้งนักธุรกิจชาวอเมริกัน อนิเมเตอร์ ผู้ผลิตวิดีโอ ผู้สร้างอาณาจักรเอนเตอร์เทนเมนท์ที่สร้างความสุขให้แก่หลายคนทั่วโลก อาณาจักรแห่งความสุขนี้ถูกสร้างและบริหารโดยผู้นำที่ชื่อว่า Walt Disney ถึงแม้ว่าจะผ่านไปนานมากแล้วแต่ The Big Blue ก็ยังรู้สึกว่าบทเรียนความเป็นผู้นำของ Walt Disney ยังไม่เก่า และสามารถนำมาปรับใช้บริหารงานในสมัยปัจจุบันได้เสมอ <img src="https://static.xx.fbcdn.net/images/emoji.php/v9/t5/1.5/16/1f4cc.png" alt="📌">มีวิสัยทัศน์และเป้าหมายที่ชัดเจน การเลือกใช้ชื่อบริษัทจากนามสกุลของเขา เป็นจุดเริ่มต้นที่ชัดเจนอย่างมากว่าเขาต้องการที่จะให้บริการเอนเตอร์เทนเมนท์ที่มีคุณภาพสำหรับครอบครัว ซึ่งสิ่งเหล่านี้สะท้อนผ่านทุกๆ โปรเจ็คของเขาที่ทำออกมา และการมีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนนี้ก็จะช่วยให้คนในทีมมองเห็นเป้าหมายเดียวกัน และเดินไปในทิศทางเดียวกันอย่างถูกต้อง <img src="https://static.xx.fbcdn.net/images/emoji.php/v9/t5/1.5/16/1f4cc.png" alt="📌">สนับสนุนสภาพแวดล้อมที่ก่อให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ ที่ผ่านมา Disney ได้ทดลองทำอนิเมชั่นออกมาหลายรูปแบบเพื่อให้มั่นใจว่ามันจะมีความเชื่อมโยงกับคนดดูได้ และสามารถมอบประสบการณ์ใหม่ได้ในทุกครั้ง เขาจึงพยายามริเริ่มให้บริษัทรู้จักคิดนอกกรอบอยู่เสมอ โดยให้พนักงานแสดงความคิดสร้างสรรค์ รู้จักตั้งคำถาม และกล้าลองทำสิ่งใหม่ๆ การคิดสร้างสรรค์ และการยอมรับความเสี่ยง นั่นจะนำไปสู่ไอเดียใหม่ๆ ที่อาจมีเอกลักษณ์และเป็นผลิตภัณฑ์ที่ยอดเยี่ยมเลยก็ได้ <img src="https://static.xx.fbcdn.net/images/emoji.php/v9/t5/1.5/16/1f4cc.png" alt="📌">ใส่ใจในรายละเอียด ว่ากันว่าความใส่ใจในรายละเอียดของ Disney นั้นไม่มีใครเทียบได้ เขาพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้แน่ใจว่างานของเขาจะต้องอยู่ในอันดับแรก ตั้งแต่อนิเมชั่น ไปจนถึงการออกแบบฉากเครื่องเล่นต่างๆ ในสวนสนุก พฤติกรรมนี้จึงถูกปลูกฝังในตัวพนักงานทุกคนให้ให้ความสำคัญกับคุณภาพก่อนเป็นอันดับแรก และด้วยความใส่ใจในรายละเอียด ก็ทำให้พนักงานรู้ว่าต้องทำงานออกมาแบบไหน และบางครั้งก็สามารถใช้ดุลพินิจในการตัดสินใจได้เลยเพื่อให้ตรงตามมาตรฐานความคาดหวังของ Disney <img src="https://static.xx.fbcdn.net/images/emoji.php/v9/t5/1.5/16/1f4cc.png" alt="📌">เชื่อมั่นในผลิตภัณฑ์และผู้คน Walt Disney มีความเชื่อมั่นอย่างแน่วแน่ในผลิตภัณฑ์องเขา และรู้ว่าจะทำอย่างไรเพื่อดึงส่วนที่ดีที่สุดของพนักงานแต่ละคนออกมา เขาไม่เคยยอมแพ้กับไอเดียของตัวเองเลย ทั้งยังเล็งเห็นถึงความสามารถและจุดแข็งของพนักงาน ทำให้มีความไว้วางใจให้พนักงานทำงานได้อย่างอิสระ เมื่อคุณแสดงความเชื่อมั่นทั้งต่อผลิตภัณฑ์ และต่อพนักงาน ก็จะทำให้พนักงานรู้สึกมีคุณค่า มีแรงบันดาลใจ เต็มใจที่จะทุ่มเทเพื่อคุณอย่างเต็มที่จนบริษัทประสบความสำเร็จ <img src="https://static.xx.fbcdn.net/images/emoji.php/v9/t5/1.5/16/1f4cc.png" alt="📌">ความมานะบากบั่น แม้เส้นทางสู่ความสำเร็จของ Disney นั้นอาจไม่ได้โรยด้วยกลับกุหลาย แต่ Walt Disney สามารถหยัดยืนผ่านทั้งความล้มเหลว ความพ่ายแพ้ การถูกปฏิเสธ จนกระทั่งประสบความสำเร็จได้ ความมานะบากบั่นของ Walt Disney จึงเป็นสิ่งที่ย้ำเตือนพนักงานทุกคนให้ไม่ละทิ้งเป้าหมาย และทำหน้าที่ของตนให้ดีที่สุดแม้จะเป็นในช่วงเวลาที่ยากลำบาก แต่ท้ายที่สุดความขยันและความพยายามจะพาเราไปสู่ความสำเร็จในที่สุด Credit <a href="https://www.linkedin.com/pulse/2-leadership-lessons-from-walt-disney-lee-nallalingham">Photo 1</a> &nbsp;/ <a href="https://www.disneyfoodblog.com/2023/11/08/disney-projects-a-return-to-pre-pandemic-cash-flow-in-2024/">Photo 2</a> &nbsp;/ <a href="https://fcfalconer.org/4408/arts-and-entertainment/disneys-100th-anniversary/">Photo 3</a>

5 บทเรียนผู้นำจาก Walt Disney

<img src="https://storage.googleapis.com/prod-big-blue-ocean-storage/uploads/Cyber_Securit_f8ee433604/Cyber_Securit_f8ee433604.jpg" alt="Cyber Securit.jpg">ยุคนี้โลกของ Internet เปิดให้ธุรกิจทุกรูปแบบเข้ามาใช้ประโยชน์ในการหากลุ่มลูกค้าใหม่ๆ ได้แบบแทบจะไม่มีข้อจำกัด แต่ปัญหาเรื่องของการถูกแฮคข้อมูลผ่านทางออนไลน์ก็เป็นอีกเรื่องที่ตามมาไม่หยุด ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลทางธุรกิจ ข้อมูลลูกค้า และข้อมูลอื่นๆ นับเป็นเรื่องสำคัญที่ทุกธุรกิจต้องป้องกันไม่ให้ตกหล่นหรือหลุดรอดออกไปได้----------------------------แจก 9 ทริคเอาชนะเหล่า Hacker ด้วย Cyber Security ที่บอกเลยว่าเอื้อต่อธุรกิจขนาดเล็กในการป้องกันข้อมูลแบบสุดๆ !----------------------------ทริคที่ 1 เริ่มฝึกตั้งแต่พนักงานภายในบริษัทก่อนเป็นเรื่องง่ายๆ ที่ทุกธุรกิจเริ่มได้จากการกำหนดนโยบายขั้นพื้นฐานด้านความปลอดภัยและแนวทางปฏิบัติสำหรับพนักงานอย่างเป็นระบบก่อน เช่น การใช้รหัสผ่านที่รัดกุม มีแนวทางการใช้อินเทอร์เน็ตที่เหมาะสม พร้อมทั้งมีบทลงโทษอย่างจริงจังสำหรับพนักงานที่ละเมิดนโยบายความปลอดภัยทางไซเบอร์ของบริษัททริคที่ 2 ป้องกันการโจมตีทางไซเบอร์อย่างรัดกุมเป็นการปกป้องข้อมูล เครื่องคอมพิวเตอร์ และเครือข่าย โดยมีการตั้งค่าซอฟต์แวร์สำหรับป้องกันไวรัสโดยเฉพาะ พร้อมทำไว้สำหรับแสกนหลังจากมีการอัพเดทเครื่องคอมพิวเตอร์แต่ละครั้ง พร้อมทั้งต้องมีการติดตั้งการอัพเดทซอฟต์แวร์ที่สำคัญไว้ตั้งแต่ต้น สำหรับตัวเครื่องคอมพี่พร้อมใช้งานทริคที่ 3 ต้องแน่ใจว่าการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตมีมีการรักษาความปลอดภัย Firewallโดย Firewall คือซอฟต์แวร์หรือฮาร์ดแวร์สำหรับป้องกันไม้ให้ข้อมูลของภายในหลุดออกไปสู่บุคคลภายนอกได้ โดยจะทำหน้าที่ตรวจสอบข้อมูลที่ผ่านเข้า-ออกระบบเครือข่าย ซึ่งทางบริษัทต้องแน่ใจว่า Firewall ของระบบปฏิบัติงานภายในมีการเปิดใช้งานอยู่ เพื่อป้องกันข้อมูลภายในหลุดออกไปได้ง่ายๆทริคที่ 4 ทำแผนป้องกันความปลอดภัยสำหรับอุปกรณ์เคลื่อนที่/โทรศัพท์ในการสร้างการป้องกันความปลอดภัยสำหรับโทรศัพท์นับเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่สำคัญสำหรับองค์กร ยิ่งถ้าหากมีความลับหรือข้อมูลสำคัญขององค์กรอยู่ จึงต้องมีการกำหนดให้พนักงานตั้งรหัสผ่านป้องกันที่ปลอดภัย มีรหัสการเข้าถึงข้อมูล พร้อมทั้งติดตั้งแอพสำหรับรักษาความปลอดภัยเพื่อป้องกันไม่ให้อาชญากรขโมยข้อมูลขณะที่ใช้โทรศัพท์ไปได้ทริคที่ 5 ต้องมีการทำสำเนาสำหรับข้อมูลสำคัญทุกเมื่อ !โดยควรตั้งให้มีการสำรองข้อมูลอัตโนมัติหากเป็นไปได้ โดยเป็นการสำรองข้อมูลจากคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องไว้บนระบบคลาวด์หรือจัดเก็บไว้นอกสถานที่ เพื่อป้องกันข้อมูลสูญหายหรือถูกเปลี่ยนแปลงทริคที่ 6 สร้างบัญชีผู้ใช้ให้พนักงานเป็นรายคนเพื่อเป็นการควบคุมการเข้าถึงคอมพิวเตอร์และป้องกันการใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ในทางธุรกิจสำหรับบุคคลนอก นอกจากนี้หากมีแล็ปท็อปสำหรับพนักงาน ควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าได้สร้างบัญชีผู้ใช้แยกสำหรับพนักงานแต่ละคนแล้วพร้อมทั้งมอบสิทธิ์การดูแลระบบให้กับเจ้าหน้าที่เฉพาะทางที่ไว้ใจได้เท่านั้น เพราะแล็ปท็อปเป็นอุปกรณ์ที่สามารถถูกขโมยหรือหายได้ง่ายทริคที่ 7 ไม่ปล่อยผ่านเรื่องความปลอดภัยของ Wi-Fiต้องแน่ใจว่า Wi-Fi ของบริษัทคุณปลอดภัยมากพอ โดยควรมีการตั้งรหัสผ่านสำหรับป้องกันการเข้าถึงเราท์เตอร์ภายในบริษัทโดยเฉพาะ หรือมีการตั้งค่าสำหรับการเข้าใช้งานเราท์เตอร์ไร้สาย พร้อมทั้งซ่อน Wi-Fi ของบริษัทเพื่อเป็นการป้องกันข้อมูลอีกชั้นหนึ่งทริคที่ 8 ต้องมีการจำกัดการเข้าถึงข้อมูลสำหรับพนักงาน อย่าให้พนักงานสามารถเข้าถึงข้อมูลทั้งหมดได้ควรมีการจำกัดการติดตั้งซอฟต์แวร์ของพนักงาน ซึ่งพนักงานแต่ละคนควรที่จะสามารถเข้าถึงระบบเท่าที่จำเป็นสำหรับตำแหน่งของตัวเองเท่านั้นทริคที่ 9 ต้องมีการเปลี่ยนรหัสผ่านของพนักงานทุก 3 เดือนในขั้นต้นแน่นอนว่าต้องมีการกำชับให้พนักงานใช้รหัสผ่านที่ปลอดภัย ไม่สามารถ Hack ได้ง่ายๆ พร้อมทั้งต้องมีนโยบายด้านการเปลี่ยนรหัสสำหรับพนักงานทุก ๆ 3 เดือน นอกจากนี้ต้องมีการรองรับความปลอดภัยด้วยการใช้ข้อมูลอื่น ๆ นอกเหนือจากรหัสผ่านเพื่อเป็นการยืนยันตัวตนอีกชั้นหนึ่งอีกด้วย

เปิด 9 ทริค Cyber Security ที่เหล่า SMEs ไม่มีไม่ได้ !

<img src="https://storage.googleapis.com/prod-big-blue-ocean-storage/uploads/Christian_Dior_c1ade48aab/Christian_Dior_c1ade48aab.jpg" alt="Christian Dior.jpg">Dior แบรนด์แฟชั่นสุดหรูที่มีตั้งแต่กระเป๋า รองเท้า เครื่องสำอาง เครื่องประดับ ที่ใครใส่แล้วก็ดูกลายเป็นลูกคุณหนูสุด ๆ เพราะสินค้าทุกอย่างแฝงดีเทลน่ารัก ๆ อย่างใส่ใจในทุกจุด อาณาจักรแห่งนี้ถูกก่อตั้งโดยชายที่ชื่อว่า Christian Dior มาถอดบทเรียนจากคุณ Christian Dior ว่ากว่าที่จะกลายเป็นเจ้าของแบรนด์หรู เขามีแนวคิดการบริหารงานอย่างไรบ้าง <img src="https://static.xx.fbcdn.net/images/emoji.php/v9/tac/1/16/1f4cc.png" alt="📌">ให้ศิลปะนำทาง ก่อนจะเริ่มเข้าสู่อุตสาหกรรมแฟชั่น Christian Dior ได้เปิดแกลอรี่เล็กๆ ในปารีสที่จัดแสดงงานศิลปะของศิลปินคนดังอย่าง Salvador Dalí และ Pablo Picasso เขาได้นำความหลงไหลในศิลปะนี้มาใส่ลงไปในแฟชั่นด้วยการออกแบบสร้างสรรค์ผลงานที่ไม่ธรรมดาขึ้นมา <img src="https://static.xx.fbcdn.net/images/emoji.php/v9/tac/1/16/1f4cc.png" alt="📌">ไม่เป็นไรเลยหากเราจะไม่มั่นใจและกลัว “การเข้ามาในวงการนี้ช้า ในขณะที่คนอื่นได้ใช้เวลาทั้งชีวิตเรียนรู้ ส่วนฉันมีแค่สัญชาตญาณเท่านั้นที่นำทาง และบางทีอาจเป็นเพราะความกลัวที่จะเป็นมือสมัครเล่นในวงการนี้ไปตลอดกาลนี้เอง ที่กระตุ้นให้ฉันละทิ้งความสงสัยในตัวเอง และกลายมาเป็น Christian Dior นักออกแบบเสื้อผ้าชั้นสูง” Christian Dior ต้องเผชิญกับความสงสัยในตัวเอง และความกลัวอยู่หลายต่อหลายครั้งก่อนที่จะกล้าบุกเบิกทางสายแฟชั่นของตัวเอง เพราะไม่เห็นภาพว่าตัวเองจะกลายเป็นผู้บุกเบิกแฟชั่นและกลายเป็นผู้ก่อตั้งแบรนด์แฟชั่นชั้นนำได้เลย ก่อนที่เขาจะตัดสินใจลุกขึ้นมาเริ่มต้นทำแบรนด์ Dior <img src="https://static.xx.fbcdn.net/images/emoji.php/v9/tac/1/16/1f4cc.png" alt="📌">เชื่อในไอเดียของตัวเอง และปล่อยให้ไอเดียนำทาง Dior ปล่อยคอลเลกชั่นแรกหลังจากสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 ในขณะที่ประเทศกำลังพักฟื้นจากภาวะสงคราม ผู้หญิงมักจะแต่งกายด้วยชุดสีดำล้วน เนื่องจากมองว่าไม่ใช่เวลาที่จะมาแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีฉุดฉาด แต่นั่นก็ไม่สามารถหยุด Dior จากการทำสไตล์หรูหราและมีสีสัน หลังจากที่เปิดตัวคอลเลกชั่นแรก แฟชั่นของเขาได้สร้างแรงบันดาลใจให้แก่คนอื่นๆ ในยุคนั้น และถูกเรียกว่าเป็น “The new look” <img src="https://static.xx.fbcdn.net/images/emoji.php/v9/tac/1/16/1f4cc.png" alt="📌">โลกหมุนรอบดีเทล เป็นที่รู้กันว่าแบรนด์แฟชั่นนั้นสามารถใส่รายละเอียดความสร้างสรรค์ได้มากมาย และ Dior เชื่อในแนวคิดการบอกเล่าเรื่องราวผ่านรายละเอียด “รายละเอียดนั้นเป็นเรื่องสำคัญพอๆ กับสิ่งจำเป็นอื่นๆ หากรายละเอียดไม่เพียงพอมันก็อาจจะทำลายภาพรวมของทั้งชุดได้” ดังนั้นผลิตภัณฑ์ทุกอย่างที่ออกมาภายใต้แบรนด์แฟชั่นหรูนี้ ไม่ว่าจะเป็นกระเป๋า รองเท้า เสื้อผ้า หรือแม้แต่พาเลตอายแชโดว์ ก็ต้องแฝงไปด้วยดีเทลในทุกจุดเพื่อให้ผลิตภัณฑ์เหนือแบรนด์อื่น <img src="https://static.xx.fbcdn.net/images/emoji.php/v9/tac/1/16/1f4cc.png" alt="📌">ช่วยให้คนอื่นเติบโต Christian Dior จ้าง Yves Saint Laurent ในขณะที่อายุเพียง 19 ปีเท่านั้น และเขาก็ปลุกปั้น คอยสอนจนทำให้ Yves Saint Laurent กลายเป็นนักออกแบบเสื้อผ้าชั้นสูงที่อายุน้อยที่สุดในขณะนั้น ดังนั้นหากไม่มี Dior ในวันนี้โลกก็อาจจะไม่ได้รู้จัก Yves Saint Laurent ก็เป็นได้

6 บทเรียน จาก Christian Dior 

<img src="https://storage.googleapis.com/prod-big-blue-ocean-storage/uploads/Machine_Learning_1b0a004db5/Machine_Learning_1b0a004db5.jpg" alt="Machine Learning.jpg">[ เปลี่ยนเกมการผลิตไฟฟ้า ] เพิ่มประสิทธิภาพ ลดของเสีย แก้ไขโลกร้อน ด้วย Machine Learning <img src="https://static.xx.fbcdn.net/images/emoji.php/v9/t2a/1/16/1f3ed.png" alt="🏭"> --------------------- ในยุคของการเปลี่ยนแปลงและนวัตกรรมแบบนี้ Machine Learning (ML) ได้กลายเป็นตัวเปลี่ยนเกมในอุตสาหกรรมโรงไฟฟ้า ทำให้การประยุกต์ใช้ ML ไม่เพียงแค่เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและจัดการพลังงาน แต่ยังช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและเสริมสร้างความยั่งยืนอีกด้วย ! บริษัทชั้นนำอย่าง General Electric และ Siemens ได้นำ ML มาใช้ในการบำรุงรักษาในเชิงป้องกัน โดยทำนายและป้องกันความผิดพลาดของอุปกรณ์ผลิตไฟฟ้าด้วย Sensor และอุปกรณ์ IoT ต่างๆ ทำให้การบำรุงรักษามีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ ยังใช้ ML ในการจัดการการผลิตไฟฟ้า รวมถึงจัดการการนำพลังงานหมุนเวียนเข้าไปใช้ร่วมกับระบบไฟฟ้าหลัก ช่วยให้โรงไฟฟ้าสามารถปรับตัวตามความต้องการของตลาดและลดการสูญเสียพลังงานได้ดียิ่งขึ้น อีกหนึ่งตัวอย่างของการใช้ ML คือ Virtual Power Plants เป็นการคิดรวมการผลิตไฟฟ้าจากหลายๆ โรงเข้าด้วยกันเป็น Unit ใหญ่ โดยการคำนวณข้อมูลจากโรงไฟฟ้าแต่ละโรงในแต่ละวันที่ป้อนเข้ามา ผ่านกระบวนการของ ML มาทำการ forecast เพื่อหา Solution ที่ดีที่สุดในการจัดการไฟฟ้า ทำให้เกิดศักยภาพสูงสุดตามมา ในสหรัฐอเมริกาและยุโรป ภาครัฐได้ให้ความสำคัญกับการใช้ ML ในการวิเคราะห์และทำนายความต้องการพลังงาน ซึ่งสนับสนุนให้การผลิตพลังงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืนมากขึ้น ช่วยรับมือกับความท้าทายของ Climate Change ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมายของ Carbon Border Adjustment Mechanism (CBAM) ในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก สำหรับประเทศไทย เราเองก็ได้มีการใช้ ML แล้วเช่นกัน เช่น บริษัท Mitsubishi Power Asia Pacific ได้ใช้ Solution ที่มีชื่อว่า TOMONI ในโรงไฟฟ้าราชบุรีมาตั้งแต่ปี 2558 โดยเป็นการนำ ML มาใช้งานร่วมกับอีกหลายๆ เครื่องมือ อย่าง Advance analytics , Adaptive control technology และ AI มาใช้งาน ส่งผลให้เกิดการประหยัดเชื้อเพลิงไปได้อย่างมีนัยยะสำคัญ นอกจากนี้ยังมีหน่วยงานวิจัยเข้ามาสนับสนุนด้านนี้โดยเฉพาะ อย่างเช่น ที่จุฬาลงกรณ์ ได้มีทีมวิจัยเกี่ยวกับ Smart Grids ด้วยการนำ ML มาใช้ ซึ่งเป็นงานวิจัยที่เจาะลงมาถึงระดับผู้ใช้ตามบ้านเลยทีเดียว รวมถึงแนวทางภาครัฐที่สนับสนุนแนวทางการบริหารจัดการพลังงานทั้งทางนโยบายและข้อกฎหมาย แสดงให้เห็นว่าในประเทศเรามีการตื่นตัวด้านนี้เป็นอย่างมากเช่นกัน ------------------------- การใช้ ML ในอุตสาหกรรมโรงไฟฟ้าไม่เพียงแต่เป็นการปฏิวัติวิธีการผลิตและจัดการพลังงานเท่านั้น แต่ยังเป็นก้าวสำคัญในการสร้างโลกที่ยั่งยืนและเป็นการร่วมกันป้องกัน Climate Change ได้อีกหนึ่งทาง

เปลี่ยนเกมการผลิตไฟฟ้า Machine Learning ลดผลกระทบ สร้างความยั่งยืน

<img src="https://storage.googleapis.com/prod-big-blue-ocean-storage/uploads/80_20_rule_b2c09f9102/80_20_rule_b2c09f9102.jpg" alt="80-20-rule.jpg"><img src="https://static.xx.fbcdn.net/images/emoji.php/v9/t51/1/16/1f449.png" alt="👉"> กฎ 80/20 หลักการบริหารที่ “ทำน้อย” แต่ “ได้มาก” <img src="https://static.xx.fbcdn.net/images/emoji.php/v9/t1/1/16/1f4c8.png" alt="📈"> ทุกคนเคยได้ยินกฎ 80/20 หรือหลัก Pareto Principle หรือไม่ ? ที่ว่าผลลัพธ์ 80% มาจากความพยายาม 20% หรือพูดง่ายๆ คือ "ทำน้อย แต่ได้มาก" หลักการนี้ไม่ได้ถูกคิดขึ้นมาลอยๆ แต่มาจากการสังเกตของนักเศรษฐศาสตร์ชาวอิตาเลียนที่ชื่อว่า Vilfredo Pareto เขาสังเกตเห็นว่าต้นไม้ในสวนของเขามีเพียง 20% เท่านั้น ที่ผลิดอกออกผลกว่า 80% ซึ่งสิ่งที่เขาสังเกตเห็นได้ ก็คล้ายคลึงกับการกระจายความมั่งคั่งในสังคมเช่นกัน เขาสังเกตว่าที่ดินกว่า 80% ในอิตาลี เป็นของกลุ่มคนเพียง 20% ในประเทศ หรืออย่างในการทำธุรกิจ 80% ของรายได้ มาจากลูกค้าเพียง 20% เท่านั้น ความสัมพันธ์นี้จึงแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการทำสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่มีคุณภาพ ว่าสามารถสร้างผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่ได้ ! ----------------------------- กฎ 80/20 นี้ มักจะถูกนำมาพูดถึงในเชิงของการทำธุรกิจ การบริหารงาน รวมไปถึงสิ่งต่าง ๆ ในชีวิตได้ ในบทความนี้เราจะมายกตัวอย่างวิธีการทำกฎ 80/20 ไปใช้ประโยชน์กับการบริหารจัดการเวลาในการทำงาน <img src="https://static.xx.fbcdn.net/images/emoji.php/v9/tac/1/16/1f4cc.png" alt="📌">คิดเสมอว่ากำลังทำอะไรอยู่ ในแต่ละวันที่ไปถึงที่ทำงาน คุณเริ่มทำงานอะไรเป็นอย่างแรก? คนส่วนใหญ่มักจะทำงานอะไรที่น่าทำก่อน ซึ่งมันก็แน่นอนว่าคุณต้องทำงานเหล่านี้ให้เสร็จในท้ายที่สุดอยู่ดี แต่การที่คุณเอางานสำคัญ ที่ควรทำไปไว้ทีหลัง นั่นหมายถึงว่าคุณอาจจะต้องใช้เวลานานขึ้นกว่าจะเห็นผลลัพธ์ของงาน และใช้เวลาทำงานนานขึ้นเพื่อให้ทันเดดไลน์ จำไว้ว่าการทำตัวยุ่งๆ ไม่ใช่เรื่องดี แต่นั่นเป็นสัญญาณว่าคุณบริหารจัดการเวลาได้ไม่ดีพอ คุณต้องโฟกัสงานสำคัญๆ 20% ให้ได้ก่อน แล้วจะรู้ว่าที่จริงคุณยังมีเวลาว่างเหลืออีกมาก <img src="https://static.xx.fbcdn.net/images/emoji.php/v9/tac/1/16/1f4cc.png" alt="📌">ป้องกันการเสียสมาธิ เวลาทำงานยากๆ ที่รู้สึกไม่อยากทำ ไม่แปลกที่หลายคนจะหลุดโฟกัสไปได้ง่าย ๆ บางครั้งแค่เห็นแจ้งเตือนในโทรศัพท์ ก็อดใจไม่ได้ที่จะเปิดดู ซึ่งปัญหาเหล่านี้สามารถแก้ได้ที่ต้นตอ เมื่อรู้ว่าอะไรที่ทำให้เสียสมาธิ ก็ตัดมันทิ้งไปเสีย โฟกัสในสิ่งที่คุณต้องทำ แล้วคุณจะรู้ว่า 20% ของการที่คุณเสียสมาธิไป มันคือเวลาที่เสียไปกว่า 80% เลยทีเดียว <img src="https://static.xx.fbcdn.net/images/emoji.php/v9/tac/1/16/1f4cc.png" alt="📌">เขียน To-Do Lists ใหม่ เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้แล้ว ก็ได้เวลาที่คุณจะเขียน To-Do Lists ใหม่ ให้สอดคล้องกับเป้าหมายของคุณ เอาสิ่งที่ไม่ค่อยสำคัญมากนักไว้ด้านล่างของลิสต์ แม้ว่าคุณจะสามารถทำเสร็จได้อย่างรวดเร็วและง่ายดายก็ตาม แต่มันก็เป็นความสำเร็จที่สร้างผลลัพธ์ได้เพียงน้อยนิดเท่านั้น <img src="https://static.xx.fbcdn.net/images/emoji.php/v9/tac/1/16/1f4cc.png" alt="📌">โฟกัสกับกลุ่มลูกค้า 20% ที่สำคัญ จงใช้เวลา 80% ของคุณ ไปกับลูกค้า 20% จึงจะสามารถสร้างยอดขายที่ดี ลูกค้ากลับมาซ้ำ และพัฒนาธุรกิจให้เติบโตขึ้นได้ กฎนี้ไม่เพียงแต่ใช้กับลูกค้าเท่านั้น แต่สามารถใช้กับคนที่มีโอกาสเป็นลูกค้าได้ด้วย เพียงแค่หากลุ่มลูกค้า 20% ที่มีโอกาสเป็นลูกค้าคนสำคัญให้เจอ และทุ่มความพยายามทั้งหมดไปตรงนั้น ย่อมดีกว่าการหว่านแหหาลูกค้าไม่มีทิศทาง <img src="https://static.xx.fbcdn.net/images/emoji.php/v9/tac/1/16/1f4cc.png" alt="📌">วิเคราะห์ความก้าวหน้า ทีนี้เมื่อทำตามกฎข้างต้นแล้ว ก็ถึงเวลาวิเคราะห์ดูว่าเวลาที่คุณใช้ไปกับแต่ละงานเป็นเท่าไหร่ และสร้างผลลัพธ์ได้เท่าไหร่ <img src="https://static.xx.fbcdn.net/images/emoji.php/v9/tac/1/16/1f4cc.png" alt="📌">หาหนทางใหม่ ๆ ที่จะนำกฎ 80/20 ไปใช้ได้ เมื่อคุณลองใช้กฎ 80/20 แล้วเห็นว่ามันเวิร์ค ก็ลองหาทางใหม่ๆ ที่จะนำกฎนี้ไปปรับใช้ดูบ้าง เช่น ลองหาเครื่องมือสัก 20% ที่จะช่วยให้งานที่เหลืออีก 80% มันง่ายขึ้น <img src="https://static.xx.fbcdn.net/images/emoji.php/v9/tac/1/16/1f4cc.png" alt="📌">หาตัวแทนทำงาน 80% แน่นอนว่าทั้งหมดที่พูดมานี้ คือการบอกให้คุณเลือกทำในสิ่งที่สำคัญ และสร้างผลลัพธ์ยิ่งใหญ่เพียง 20% เท่านั้น ดังนั้นในส่วน 80% ที่ไม่ได้สำคัญมาก คุณอาจจะเลือกหาคนอื่นมาช่วยทำแทนคุณ แล้วคุณเอาเวลาไปโฟกัสกับ 20% นั้นแทน ย่อมเกิดประสิทธิภาพดีกว่า

กฎ 80/20 หลักการบริหาร ที่ 'ทำน้อย' แต่ "ได้มาก"

<img src="https://storage.googleapis.com/prod-big-blue-ocean-storage/uploads/Brand_6b28a5bc13/Brand_6b28a5bc13.jpg" alt="Brand.jpg">“แบรนด์ของเราจะเข้าไปเป็นจุดสนใจให้กับลูกค้าได้อย่างไรในยุคที่หากสื่อสารผิดไปก็อาจเกิดดราม่าขึ้นได้แบบไม่ทันตั้งตัว ?” เปิด How to สร้างแบรนด์ให้ทัชใจลูกค้าและมีส่วนร่วมที่ดีทางสังคมแบบไม่ต้องหวั่นเรื่องดราม่าที่อาจตามมาได้! -------------------------------------------------------------- <img src="https://static.xx.fbcdn.net/images/emoji.php/v9/tf1/1/16/1f537.png" alt="🔷"> ให้ความสำคัญกับ ‘หัวข้อ’ ที่สังคมสนใจ แต่ก็ต้องโปร่งใสและใส่ใจในเรื่องนั้นจริง ! ข้อนี้นับเป็นอีกหนึ่งทางที่จะช่วยสร้างความน่าเชื่อถือ และทำให้กลุ่มลูกค้าหันมาสนใจในตัวแบรนด์ได้แบบรวดเร็ว เพราะแบรนด์กำลังเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในประเด็นที่พวกเขาสนใจ ตัวอย่างเช่น แบรนด์ Who Give a Crap จากประเทศออสเตรเลีย บริษัทผลิตกระดาษที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมร่วมมือกับองค์กรการกุศล บริจาคกำไรครึ่งหนึ่งเพื่อช่วยสร้างห้องน้ำที่สะอาดให้กับผู้คนเพื่อสร้างสุขอนามัยที่ดี เป็นแคมเปญที่ผู้คนให้ความสนใจและพร้อมเข้ามาสนับสนุนแบรนด์มากยิ่งขึ้น *แต่ก็ต้องระวัง ! การสนับสนุนด้านประเด็นที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่สังคมใส่ใจ ต้องเป็นสิ่งที่ตัวแบรนด์ของคุณใส่ใจจริงๆ เช่นกัน เพราะความโปร่งใสและการสร้างความไว้ใจเป็นสิ่งที่ผู้คนในยุคนี้ให้ความสำคัญเป็นอันดับต้นๆ เลยก็ว่าได้ -------------------------------------------------------------- <img src="https://static.xx.fbcdn.net/images/emoji.php/v9/tf1/1/16/1f537.png" alt="🔷"> ทำให้เห็นว่า ‘สนับสนุนจริง’ ไม่ใช่แค่การโปรโมทหรือหาผลกำไร ยกตัวอย่างให้เห็นภาพง่ายๆ คือ ปัจจุบันหลายแบรนด์หันมาสนับสนุนเรื่องของ ‘ความเท่าเทียม’ ซึ่งนับเป็นสิ่งที่เป็นประเด็นร้อนทางสังคมที่ทุกคนกำลังให้ความสนใจกันอย่างจริงจัง ซึ่งหากคุณจะเป็นอีกหนึ่งแบรนด์ที่ออกมาสนับสนุนเรื่องของความเท่าเทียม องค์กรของคุณเองก็ต้องมีนโยบายหรือวัฒนธรรมภายในที่สะท้อนให้เห็นว่า “สนับสนุนจริง” ไม่เพียงแค่เรื่องของเพศที่สามแต่รวมถึงนโยบายที่เกี่ยวข้องทางด้านความเท่าเทียมในทุกเพศทุกวัย เพื่อแสดงให้เห็นถึงความจริงใจของแบรนด์และการใส่ใจตั้งแต่ภายในสู่ภายนอกองค์กร -------------------------------------------------------------- <img src="https://static.xx.fbcdn.net/images/emoji.php/v9/tf1/1/16/1f537.png" alt="🔷"> ‘จุดยืนที่ชัดเจน’ สร้างความโดดเด่นให้แบรนด์ได้มากกว่าที่คิด! ในประเด็นต่างๆ ที่เป็นไวรัลหรือสังคมกำลังพูดถึง ก็เป็นอีกทางที่ช่วยสร้างภาพจำให้กับแบรนด์ได้ดี แต่บอกเลยว่าก่อนจะเข้าไปอยู่ในเรื่องที่คนกำลังสนใจ ตัวแบรนด์เองก็ต้องมีจุดยืนที่ชัดเจนว่ามาเพื่อสนับสนุน/ต่อต้านในประเด็นนั้นๆ จริง ไม่ใช่แค่การสร้างกระแสชั่วคราว เพราะการมีจุดยืนที่ชัดเจนและแสดงให้เห็นถึงเจตนาที่ดีในการเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของประเด็นร้อนในสังคม ก็อาจเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้คนมองเห็นถึงความใส่ใจ ความโปร่งใส และสร้างภาพลักษณ์ในเชิงบวกให้กับแบรนด์ได้ *แต่ถ้าเราเข้าไปเพื่อแค่สร้างกระแสชั่วคราวจนเป็นจุดที่ทำให้คนตั้งข้อสงสัย ก็อาจกลายเป็นหอกที่พุ่งกลับมาทำให้แบรนด์เราเสียชื่อเสียงระยะยาวได้ง่ายๆ เช่นกัน! -------------------------------------------------------------- <img src="https://static.xx.fbcdn.net/images/emoji.php/v9/tf1/1/16/1f537.png" alt="🔷"> สร้างภาพจำ ‘เชิงบวก’ ในระยะยาวให้กับตัวแบรนด์ เป็นการสร้างสรรค์แคมเปญหรือคอนเทนท์ที่ช่วยสร้างภาพลักษณ์และภาพจำให้กับแบรนด์ในเชิงบวก โดยเลือกใช้เรื่องที่แบรนด์และลูกค้าให้ความสนใจทั้งสองฝ่าย เพื่อการบอกถึงจุดยืนและสร้างภาพลักษณ์ที่มีจุดเด่นให้กับตัวแบรนด์ เช่น แบรนด์ Dove ทำการตลาดผ่านการสร้างแคมเปญ Real Beauty ซึ่งประสบความสำเร็จมากใน 10 ปีแรก ทำให้แบรนด์เป็นที่จดจำในเรื่อง ‘การสนับสนุนการชื่นชมผู้หญิงจากข้างในอย่างแท้จริง’ ซึ่งนับเป็นการสร้างภาพจำในระยะยาวที่ต้องใช้เวลา แต่ความคุ้มค่าที่ได้กลับมาคือภาพลักษณ์ที่ไม่เหมือนใครและสนับสนุนประเด็นของสังคมได้ในเวลาเดียวกัน -------------------------------------------------------------- จากทั้ง 4 ประเด็นนี้สามารถสรุปได้ง่ายๆ คือ ถ้าแบรนด์เราอยากเป็นที่จดจำจากประเด็นที่สังคมสนใจและเข้าไปทัชใจลูกค้าได้แบบยาวๆ โดยไม่เสี่ยงโดนดราม่าที่หลัง ต้องเริ่มต้นจากความจริงใจ โปร่งใส และมีจุดยืนที่ชัดเจน แสดงให้เห็นถึงการเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยขับเคลื่อนสังคมอย่างแท้จริง ต้องแสดงจุดยืนให้ถูกที่ ถูกเวลา และไม่รีบเร่งเอาตัวเองไปอยู่ท่ามกลางประเด็นร้อนบน Social Media เพราะอาจทำให้คนในสังคมหันมาตั้งคำถามหรือสงสัยตัวแบรนด์ในแง่ลบ จนกลายเป็นภาพจำแบบลบๆ ต่อแบรนด์ในระยะยาวได้นั่นเอง

สร้างแบรนด์ให้ทัชใจลูกค้าไม่ต้องหวั่นดราม่าตามมาทีหลัง

<img src="https://storage.googleapis.com/prod-big-blue-ocean-storage/uploads/Adobe_312bf47248/Adobe_312bf47248.png" alt="Adobe.png">นับตั้งแต่ยุคที่มีการใช้งานคอมพิวเตอร์ กระทั่งเข้าสู่ยุคอินเทอร์เน็ตครองเมือง หนึ่งในแบรนด์ผลิตภัณฑ์ซอฟต์แวร์ที่คนทั่วโลกรู้จักกันดีต้องมีชื่อของ “Adobe” รวมอยู่ด้วยแบบไม่ต้องสงสัยเลยจริงไหม ? ----------------------------- แต่รู้หรือไม่ ? การที่พวกเขาประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบันไม่ใช่แค่การพัฒนาผลิตภัณฑ์ แต่ในฐานะของบริษัทด้านเทคโนโลยี พวกเขาจึง “กล้าเปลี่ยนแปลงตัวเอง" ผ่านสิ่งที่เรียกว่า “Digital Transform” ----------------------------- ถ้าให้ย้อนประวัติกลับไป บริษัทสัญชาติอเมริกันอย่าง Adobe ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1982 ด้วยการขายผลิตภัณฑ์ด้านซอฟต์แวร์ที่คนจำนวนมากคุ้นเคยและใช้งานกันมาตลอด ซึ่งสินค้ายอดฮิตก็มีอย่าง Adobe Photoshop โปรแกรมการแต่งรูปภาพ, Adobe Illustrator โปรแกรมด้านการตัดต่อภาพ, Adobe Acrobat Reader โปรแกรมสำหรับการอ่านและแก้ไขไฟล์ PDF เป็นต้น ซึ่งผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ของ Adobe เดิมทีจะบรรจุลงในกล่องภายใต้ชื่อ “Adobe System” ข้างในกล่องจะมีซีดี หรืออุปกรณ์สำหรับให้ลูกค้านำไปลงกับคอมพิวเตอร์ของตนเอง . จนมาในช่วงปี 2008 ที่ยุคอินเทอร์เน็ตเข้ามามีบทบาทกับการใช้ชีวิตของผู้คนมากขึ้นเรื่อย ๆ Adobe เริ่มเจอวิกฤตทั้งยอดขายร่วง พฤติกรรมผู้คนที่หันไปดาวน์โหลดบนอินเทอร์เน็ตมากขึ้น ทำให้พวกเขาตัดสินใจลองเสี่ยงที่จะเข้าสู่การเปิดให้ลูกค้าสมัครสมาชิกบนเว็บไซต์ พร้อมด้วยรูปแบบการขายที่พวกเขาสร้างนิยามขึ้นใหม่ โดยแบ่งออกเป็น 3 Solutions บนระบบ Cloud ได้แก่ <img src="https://static.xx.fbcdn.net/images/emoji.php/v9/tf1/1/16/1f537.png" alt="🔷"> Creative Cloud <img src="https://static.xx.fbcdn.net/images/emoji.php/v9/tf1/1/16/1f537.png" alt="🔷"> Document Cloud <img src="https://static.xx.fbcdn.net/images/emoji.php/v9/tf1/1/16/1f537.png" alt="🔷"> Experience Cloud ซึ่งการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ทำให้ Adobe กลายเป็นบริษัทคลาวด์ที่ให้บริการซอฟต์แวร์ (SaaS) แบบเต็มตัว ! . นับเป็นจุดเริ่มต้นที่ผู้บริหารของ Adobe กล้าตัดสินใจใช้ Digital Transform เข้ามาเปลี่ยนรูปแบบขององค์กร เพื่อให้สอดคล้องกับยุคสมัยโดยมีโลกออนไลน์เป็นทางเชื่อมสำคัญ นอกจากนี้พวกเขายังคงประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่องจากการซื้อแพลตฟอร์ม E-Commerce ชื่อ Magento รวมถึงบริษัทด้านการวิเคราะห์เว็บไซต์ Omniture เข้ามาบริหารงานเพื่อบ่งบอกถึงความครบวงจรบนโลกดิจิทัลอย่างแท้จริง . แต่ไม่ใช่แค่สินค้าและแพลตฟอร์มที่ Adobe เปลี่ยนแปลงโดยใช้ Digital Transform เท่านั้น การลงทุนปรับรูปแบบวัฒนธรรมองค์กรใหม่โดยอาศัยเทคโนโลยีเข้ามาก็เป็นอีกกุญแจสำคัญ ทำให้พนักงานรู้สึกพึงพอใจกันขึ้นไปอีกระดับ ไม่ว่าจะเป็น การเพิ่มสวัสดิการที่เหมาะสมให้กับพนักงาน การปรับวิธีทำงานให้สอดคล้องกับแต่ละฝ่าย รวมถึงการใช้โมเดลทำงานที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลทุกด้านเพื่อติดตามผลลัพธ์ขององค์กรอย่างต่อเนื่อง ----------------------------- นี่นับว่าเป็นบทพิสูจน์ที่ทำให้เรามองเห็นได้ชัดเจนถึงความสำเร็จจากการใช้ Digital Transformation เพื่อเปลี่ยนแปลงตนเอง หลายคนอาจมองว่าเพราะ Adobe เป็นบริษัทด้านเทคโนโลยีจึงกล้าตัดสินใจทำ แต่อีกมุมหนึ่งไม่ว่าองค์กรไหนก็เปลี่ยนได้ เพราะโลกยังคงเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง ถ้าไม่เริ่มตั้งแต่วันนี้ก็อาจสายเกินไป...

Adobe บริษัทเทค ที่ใช้ Digital Transform จนก้าวไปสู่ความสำเร็จ

<img src="https://storage.googleapis.com/prod-big-blue-ocean-storage/uploads/Team_3dfaa9f489/Team_3dfaa9f489.png" alt="Team.png"> หากถามว่า “การสื่อสารสำคัญกับการทำงานเป็นทีมมากแค่ไหน <img src="https://static.xx.fbcdn.net/images/emoji.php/v9/tec/1/16/2049.png" alt="⁉">” แน่นอนว่านับเป็นขั้นตอนแรกของการสร้างความสำเร็จให้ทีมเลยก็ว่าได้ ! เพราะการสื่อสารที่ดีและเข้าใจตรงกันภายในทีม จะช่วยสร้างภาพรวมของการทำงานที่พาให้ทุกคนมองเห็นเป้าหมาย ‘ตรงกัน’ และทำให้มีเปอร์เซ็นต์ที่จะทำให้เป้าหมายนั้นสำเร็จได้มากขึ้นกว่าเดิม ------------------------------- เปิด 3 ทริค ที่ใช้สร้างการสื่อสารภายในทีมให้ประสบความสำเร็จได้ตรงจุด <img src="https://static.xx.fbcdn.net/images/emoji.php/v9/tac/1/16/1f4cc.png" alt="📌"> พูดให้กระชับ ชัดเจน ไม่ต้องยืดเยื้อ หลายคนอาจคิดว่าการอธิบายเยอะและยาวเป็นการสื่อสารที่ดีกว่า พาให้ทุกคนที่ฟังได้รับข้อมูลที่ครบถ้วน แต่บอกเลยว่าคุณอาจคิดผิด ! เพราะความรวดเร็วและประสิทธิภาพที่ดีของตัวงานจะได้มาก็ต่อเมื่อคุณสื่อสาร 'ชัดเจน' ไม่คลุมเครือ ไม่อธิบายออกนอกประเด็นจนทำให้คนในทีมเกิดความสับสนหรือเข้าใจผิด นับเป็นวิธีสื่อสารที่ดีกว่า และช่วยให้ภายในทีมเข้าใจเป้าหมายของงานได้ตรงกันมากกว่า การหาเวลาฝึกฝนที่จะพูดให้กระชับประเด็นอย่างตรงจุดจึงนับเป็นสิ่งสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการฝึกกับตัวเองก่อนเข้าประชุมหรือพรีเซนต์ หรือเลือกฝึกกับคนใกล้ตัวเพื่อสังเกตสีหน้าและท่าทางว่าการอธิบายของเรานั้นชัดเจนมากพอหรือไม่ บอกเลยว่าทริคนี้ดูเหมือนพูดง่าย แต่อาจทำยากกว่าที่คิด ! . <img src="https://static.xx.fbcdn.net/images/emoji.php/v9/tac/1/16/1f4cc.png" alt="📌"> ส่งอีเมลที ต้องมีศิลปะในการลำดับความสำคัญกว่าที่เคย ! ในยุคนี้การสื่อสารภายในองค์กรหรือทีมยังมีใช้กันอยู่มากมาย เพราะฉะนั้นการหันมาให้ความสำคัญกับการเขียนอีเมลให้ดูมีศิลปะในการจัดเรียงความสำคัญของข้อความ ก็นับเป็นเรื่องสำคัญที่จะช่วยสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่มีประสิทธิภาพ ลดการสื่อสารที่ซับซ้อนและลดความเข้าใจผิดภายในทีมได้มากขึ้น โดยสามารถเริ่มต้นได้ง่ายๆ <img src="https://static.xx.fbcdn.net/images/emoji.php/v9/tc0/1/16/1f4e9.png" alt="📩"> เน้นข้อความบนหัวเรื่องให้ชัดเจนว่าคุณต้องการอะไรจากอีเมลที่ส่งไป เช่น “ต้องการ Feedback” “ต้องการข้อมูลจากแผนก/คุณ” เป็นต้น <img src="https://static.xx.fbcdn.net/images/emoji.php/v9/tc0/1/16/1f4e9.png" alt="📩"> ระบุสิ่งที่เราต้องการให้ชัดเจนและกระชับ ไม่ยืดเยื้อ <img src="https://static.xx.fbcdn.net/images/emoji.php/v9/tc0/1/16/1f4e9.png" alt="📩"> ต้องแน่ใจว่าเลือกผู้รับอีเมลครบถ้วน และควรหลีกเลี่ยงการส่งอีเมลให้กับคนทั้งทีมหากเนื้อหานั้นไม่ได้ต้องการจะสื่อสารกับพวกเขาโดยตรง แต่ควรเลือกส่งให้กับคนที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนั้นๆ แทน <img src="https://static.xx.fbcdn.net/images/emoji.php/v9/tc0/1/16/1f4e9.png" alt="📩"> เน้นข้อความบนหัวเรื่องให้ชัดเจนว่าคุณต้องการอะไรจากอีเมลที่ส่งไป เช่น “ต้องการ Feedback” หรือ “ต้องการข้อมูลจากแผนก/คุณ” เป็นต้น <img src="https://static.xx.fbcdn.net/images/emoji.php/v9/tc0/1/16/1f4e9.png" alt="📩"> ระบุวันเวลาหรือ Timeline ที่ชัดเจน เพื่อให้เข้าใจตรงกันทั้งตัวเราและผู้รับ . <img src="https://static.xx.fbcdn.net/images/emoji.php/v9/tac/1/16/1f4cc.png" alt="📌"> เมื่อมีผู้พูดก็ต้องมี “ผู้ฟัง” ทริคที่ดูเหมือนจะเก่าแต่ใช้ได้ตลอด หากคุณอยากสร้างบรรยากาศการทำงานที่ผ่อนคลาย พร้อมทั้งสร้างความสบายใจให้กับทั้งตัวคุณและคนในทีม ต้องเริ่มจากทักษะการสื่อสารง่ายๆ อย่าง “การฟัง” เพราะนี่นับเป็นการให้เกียรติผู้พูดและทำให้พวกเขารู้สึกว่าได้รับการรับฟังและมีส่วนร่วม การแสดงออกง่ายๆ ว่าเรากำลังรับฟังคนในทีมอย่างตั้งใจ เพียงแค่ต้องแน่ใจว่าตัวเรามีการสบตากับผู้พูดอย่างสม่ำเสมอ เพื่อเป็นการแสดงออกว่าเรากำลังตั้งใจฟังในประเด็นนั้นๆ พร้อมทั้งควรมีการตอบรับเมื่อเราเข้าใจในเนื้อหา หรือควรมีการสอบถามในประเด็นที่เรายังไม่เข้าใจเพิ่มเติมในตอนที่เขาพูดจบไปแล้ว ในข้อนี้นับเป็นการแสดงความเคารพต่อคนในทีม และยังเป็นการสร้างวัฒนธรรมด้านความเคารพและเข้าใจซึ่งกันและกันภายในทีมได้อีกด้วย

3 ทริคสร้างทีมให้ success แค่รู้จักสื่อสารให้เป็น

<img src="https://storage.googleapis.com/prod-big-blue-ocean-storage/uploads/Time_Management_f9996f96ef/Time_Management_f9996f96ef.png" alt="Time Management.png">เรื่องของ “เวลา” เปรียบเสมือน “ขุมทรัพย์” ของเหล่านักธุรกิจ เพราะเมื่อเสียไปแล้วไม่สามารถดึงกลับมาได้อีก.. ลองหันกลับมาถามตัวเองว่าคุณมีการบริหารเวลาที่ดีมากพอหรือยัง กับ 5 Checklists นี้ ! ----------------------------------------- <img src="https://static.xx.fbcdn.net/images/emoji.php/v9/tac/1/16/1f4cc.png" alt="📌"> จัดการให้เป็นและถูกจุด ! การปล่อยให้ความยุ่งเหยิงหรือวุ่นวายเข้ามามีผลต่อการจัดการงานในแต่ละวัน นับเป็นอีกหนึ่งอุปสรรคที่ทำให้คุณไม่สามารถจัดการงานให้เสร็จตามที่ตั้งเป้าไว้ได้ทัน ทั้งจากสภาพแวดล้อมและการบริหารเวลาทีไม่ดีพอ ดังนั้นคุณจึงต้องเริ่มจากการจัดการทั้งจากสภาพแวดล้อมภายนอกไปจนถึงตัวคุณเอง <img src="https://static.xx.fbcdn.net/images/emoji.php/v9/tf3/1/16/1f539.png" alt="🔹"> จัดพื้นที่ให้น่าทำงานอยู่เสมอ เป็นการจัดการของที่ไม่ใช้แล้วทิ้งไป รวบรวมของที่ยังใช้และจำเป็นให้เป็นระเบียบมากยิ่งขึ้น เพื่อเป็นการสร้างพลังงานบวกจากพื้นที่รอบตัวในการทำงานทุกๆ วัน <img src="https://static.xx.fbcdn.net/images/emoji.php/v9/tf3/1/16/1f539.png" alt="🔹"> จัดการเป้าหมายงานในแต่ละวัน เป็นขั้นแรกก่อนเริ่มงาน ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจเล็กหรือใหญ่ก็ต้องมีการวางเป้าหมาย 5 อย่าง ที่ต้องจัดการให้เสร็จในแต่ละสัปดาห์ ลำดับความสำคัญ แล้วเริ่มลงมือทำไปทีละข้อ <img src="https://static.xx.fbcdn.net/images/emoji.php/v9/tf3/1/16/1f539.png" alt="🔹"> จัดการงานยากในเวลาที่ Productive เป็นการใช้ช่วงเวลาที่เรามีความกระตือรือร้นเพื่อจัดการงานยากๆ ให้เสร็จไปในหนึ่งวัน คุณสามารถใช้แอพพลิเคชั่น Time-tracking เพื่อหาเวลาที่ตัวคุณ productive มากที่สุด แล้วใช้เวลานั้นจัดการงานที่ยากและซับซ้อนให้เสร็จไปก่อน จากนั้นค่อยใช้เวลาอื่นมานั่งเคลียร์งานที่จัดการง่ายกว่าทีหลัง -------------------------------------------- <img src="https://static.xx.fbcdn.net/images/emoji.php/v9/tac/1/16/1f4cc.png" alt="📌"> รู้จักกระจายงานเพื่อเวลาที่มากขึ้น เจ้าของธุรกิจหลายคนมักกลัวว่าจะไม่มีใครที่จัดการงานได้ดีเท่าตัวเรา เพราะเราคือคนที่เริ่มต้นธุรกิจและรู้ในทุกจุดที่สำคัญ แต่เมื่อคุณจำเป็นต้องใช้เวลาที่มีค่าไปกับการให้ความสำคัญกับการขยายธุรกิจของคุณไปข้างหน้า คุณต้องรู้จักหันมาไว้วางใจและมอบหมายงานในส่วนที่คุณต้องลดภาระให้กับผู้ที่มีความสามารถในด้านนั้นๆ เพื่อเป็นการกระจายความรับผิดชอบและเพิ่มเวลาให้คุณมีจุด Focus ที่มากขึ้น ----------------------------------------- <img src="https://static.xx.fbcdn.net/images/emoji.php/v9/tac/1/16/1f4cc.png" alt="📌"> หยุด ! ทำหลายงานพร้อมกัน ข้อนี้ต่อเนื่องมาจากข้อก่อนหน้า เพราะหลายคนอาจคิดว่าการทำหลายอย่างแบบ Multitasking จะช่วยให้งานเสร็จไวขึ้น แต่ความจริงไม่ใช่แบบนั้น ! เพราะเมื่อเราต้องโฟกัสหลายงานสมองก็จะไม่สามารถโฟกัสได้ถูกจุด จนทำให้เราขาดความ productive มากกว่าเดิม เราควรจัดลำดับความสำคัญของงานแล้วจัดการ 1 วันของคุณให้เสร็จตามแผนที่วางไว้ ----------------------------------------- <img src="https://static.xx.fbcdn.net/images/emoji.php/v9/tac/1/16/1f4cc.png" alt="📌"> หันมาใช้ Platform ที่ช่วยจัดการงานใน 1 วันให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เป็นการลดภาระการทำงานให้กับทั้งตัวคุณและทีม โดยเลือกใช้ platform ที่เหมาะสมสำหรับธุรกิจของคุณ เพื่อเข้ามาช่วยให้คุณจัดการงานและมองเห็นภาพรวมของงานได้มากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น Trello : Online Platform ที่สามารถเปิดให้คุณจัดการ Workflow ทั้งหมดของตัวคุณและทีมได้ง่ายมากขึ้น คุณสามารถสร้าง board ของแต่ละโปรเจคและติดตามความคืบหน้าของโปรเจคได้ในที่เดียว นับเป็น tool ที่ใช่ง่ายและสามารถใช้ร่วมกับทีมได้อีกด้วย <a href="https://l.facebook.com/l.php?u=https%3A%2F%2Ftrello.com%2F%3Ffbclid%3DIwAR2UuRSXIPutydE2zo1UML3pKFaDGmPMqjp42HcWFTaeyiAMGql__HVSw-Q&amp;h=AT3JmqIkSmxjTqL8NC2I-rPhwjND1SKfyINJvz8zK3JA8LyKcUbdMhelE5hrCc9dGoSyhGEBQu_HNgUs_lcUSLsdUNkH9hhJaZ6Q7rlZc5LtiHASmQJGrm6To9vE8mgZjQA0&amp;__tn__=-UK*F">https://trello.com/</a> ----------------------------------------- <img src="https://static.xx.fbcdn.net/images/emoji.php/v9/tac/1/16/1f4cc.png" alt="📌"> ให้สมองได้พักบ้าง นี่อาจเป็นวิธีที่ได้ยินกันอยู่บ่อยๆ แต่เชื่อว่าหลายคนอาจ “ลืม” ที่จะพักระหว่างการทำงานจนทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของคุณลดลง หากตัวคุณคิดอยู่ตลอดเวลาว่าจะต้องทำงานอะไรต่อไป ? นี่จะเป็นสิ่งที่ทำให้คุณขาดความสมดุลในการทำงานไปแบบไม่ทันรู้ตัว คุณต้องหันมาให้เวลาตัวเองรวมถึงพนักงานของคุณชาร์จพลังจากการพักผ่อนไปทำในสิ่งที่ชอบเล็กๆ น้อยๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ความ productive รวมถึงพักสมองจากความเครียดและความอ่อนล้าที่เจอมาตลอดทั้งวัน

5 เคล็ดลับ Time Management สกิลสำคัญที่คนทำธุรกิจต้องมี

<img src="https://storage.googleapis.com/stg-big-blue-ocean-storage/uploads/empathymap_458f923bf6/empathymap_458f923bf6.png" alt="empathymap.png">“Empathy Map” ตัวช่วยสำคัญในการทำ UX (User Experience) สำหรับธุรกิจในปัจจุบัน ที่จะพาให้เราเข้าใจความต้องการของลูกค้าและจัดลำดับความสำคัญในแต่ละความต้องการเพื่อสร้างสรรค์ Solution ใหม่ๆ มาตอบโจทย์ความต้องการเหล่านั้นได้อย่างแท้จริง -----------------------ทำไมต้องใช้ Empathy Map ในการทำธุรกิจ ?คำตอบง่ายๆ คือ เพื่อให้ทีมเข้าใจถึงความต้องการของลูกค้าได้อย่างตรงจุด และสร้างจุดเริ่มต้นในกระบวนการออกแบบ (Design Thinking) ให้ตอบโจทย์ลูกค้าได้อย่างแท้จริง โดย Empathy Map แบ่งออกเป็น 4 ส่วนหลักๆ ดังนี้🔹 Says (พูด) = การรวบรวมสิ่งที่ลูกค้าส่วนใหญ่ “ตั้งคำถาม หรือ แสดงความคิดเห็น” เกี่ยวกับตัวแบรนด์ 🔹 Thinks (คิด) = การรวบรวมสิ่งที่ลูกค้าคิดต่อตัวแบรนด์เมื่อได้สัมผัสประสบการณ์หรือได้ลองใช้บริการ ซึ่งสิ่งสำคัญในส่วนของ ‘Thinks’ คือการจับสังเกตให้ได้ว่ามีสิ่งไหนที่พวกเขาคิดแต่ลังเลที่จะพูดหรือแสดงความคิดเห็นหรือไม่? เพราะอะไร? 🔹 Does (ทำ) = การลงมือทดสอบหรือลงพื้นที่จริงเพื่อค้นหาปัจจัยที่มีผลกระทบต่อธุรกิจ และตัวลูกค้า 🔹 Feels (รู้สึก) = การรวบรวมหรือคาดคะเนถึงความรู้สึกที่ลูกค้ามีต่อตัวแบรนด์&nbsp; -----------------------เปิด 6 วิธีสร้าง Empathy Map แบบครอบคลุมและตอบโจทย์ได้อย่างตรงจุด 1. Define Scope and goals คือ การกำหนดขอบเขตและเป้าหมายของตัว Map ซึ่งการสร้าง Empathy Map แต่ละครั้งควรทำในรูปแบบ 1:1 (ลูกค้า 1 คน : 1 Empathy Map) 2. Gathers Material คือ การรวบรวมองค์ประกอบและอุปกรณ์ที่จำเป็นต้องใช้ในการสร้าง Empathy Map ที่สามารถใช้ร่วมกันกับคนในทีมให้เข้าใจง่ายและเข้าใจตรงกันได้มากที่สุด 3. Collect Research คือ การรวบรวมงานวิจัยเชิงคุณภาพ เช่น การสัมภาษณ์ลูกค้ากลุ่มตัวอย่าง, การลงพื้นที่สำรวจภาคสนาม, และการฟังหรือการสำรวจเชิงคุณภาพ เป็นต้น 4. Individually generate sticky notes for each quadrant คือ การร่วมมือกันภายในทีม โดยให้ทุกคนนำเสนอไอเดียที่ได้จากการทำ research ทั้งหมดลงบน Map ซึ่งจะแยกตาม 4 หัวข้อหลัก เพื่อให้เห็นไอเดียและมุมมองที่หลากหลาย 5. Converge to cluster and synthesize คือ การรวบรวมไอเดียที่เหมือนกันในแต่ละช่องของ Map แบ่งแยกตามทั้ง 4 หัวข้อหลัก เพื่อให้ทุกคนในทีมเห็นภาพได้ตรงกันและชัดเจนมากขึ้นว่ามีปัญหาหรือไอเดียตรงไหนที่น่าสนใจ และสามารถนำมาปรับใช้ในธุรกิจได้บ้าง 6. Polish and plan คือ ขั้นตอนสุดท้ายสำหรับกลุ่มที่ต้องการข้อมูลเพิ่มเติม สามารถเพิ่มช่องของ Map ตามหัวข้อหรือวัตถุประสงค์ที่เราต้องการได้ เช่น เพิ่มหัวข้อ Goals เพื่อสำรวจเป้าหมายในการตัดสินใจซื้อของลูกค้าในมุมมองที่ชัดเจนมากขึ้น สรุปให้เห็นชัดๆ ว่า Empathy Map จำเป็นต่อธุรกิจอย่างไร ? พูดง่ายๆ ว่าเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยให้ทีมและตัวเราเข้าใจพฤติกรรมและความต้องการของลูกค้ามากยิ่งขึ้น รวมทั้งอาจช่วยให้มองเห็นถึงจุดอ่อนของแบรนด์/ธุรกิจที่ยังไม่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มลูกค้าได้อย่างตรงจุด และเป็นการสร้างโอกาสให้มองเห็นถึง solutions ใหม่ๆ สำหรับการแก้ไข พัฒนา หรือต่อยอดธุรกิจให้เติบโตไปข้างหน้าได้อีกด้วย

Empathy-Map พาให้แบรนด์เข้าใจลูกค้าได้มากกว่าจริงหรือ ?

<img src="https://storage.googleapis.com/stg-big-blue-ocean-storage/uploads/Business_Goal_91e2307f32/Business_Goal_91e2307f32.png" alt="BusinessGoal.png">ถ้าอยากพาธุรกิจเดินไปให้ถูกทาง ต้องมี Goals หรือเป้าหมายที่ทุกคนในทีมมองเห็นทางเดียวกันเสียก่อน !การตั้ง Business Goal ให้ชัดเจนเป็นจุดเริ่มต้นของการเลือกวางทางเดินให้ธุรกิจเดินไปข้างหน้าตามวิศัยทัศน์ (Vision) ของบริษัทได้ถูกทาง และเป็นสิ่งที่ทุกคนในทีมต้องเดินไปให้ถึงเป้าหมายนั้นด้วยกัน ซึ่งการตั้ง Goals มีทั้งรูปแบบระยะสั้นและระยะยาว ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ที่คุณอยากจะทำให้สำเร็จในช่วงเวลานั้น<h3>การตั้ง Goals แบบ SMART จำเป็นต้องมี 5 ส่วนสำคัญนี้ !</h3>[ S = Specific – มีความชัดเจนและเฉพาะเจาะจง ]การตั้ง Goals แต่ละครั้งต้องคำนึงถึงสิ่งที่คุณต้องการทำให้สำเร็จ รวมถึงวิธีที่จะพาให้คุณไปถึงความสำเร็จที่ตั้งเอาไว้ยกตัวอย่างเช่น คุณตั้ง Goal เอาไว้ว่าคุณต้องการเพิ่มรายได้ให้กับบริษัท สิ่งที่คุณต้อง Lists ออกมาไว้แบบชัดเจนเพื่อเป็นการ remind ทั้งตัวคุณและทีมอาจมีดังนี้- จำนวนของรายได้ที่นับเป็นจำนวนเงินหรือเปอร์เซ็นที่คุณต้องการเพิ่มไปให้ถึง- กำหนดระยะเวลาที่คุณต้องการทำให้สำเร็จ- แผนกหรือคนในทีมที่ต้องรับผิดชอบเป็นหลัก- วิธีที่จะพาให้คุณและทีมไปถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้------------------------------------[ M = Measurable – สามารถวัดผลได้ ]Goals หรือเป้าหมายที่ตั้งขึ้นมาจำเป็นต้องสามารถวัดได้ เพื่อให้ทั้งคุณและทีมติดตามความคืบหน้าได้แบบไม่มีอะไรตกหล่นไป พร้อมทั้งยังช่วยให้คุณประเมินได้ว่าสิ่งที่คุณและทีมลงมือทำเพื่อเป้าหมายนั้น มากพอที่จะทำให้เป้าหมายนั้นสำเร็จตามที่ตั้งไว้หรือไม่ ?------------------------------------[ A = Achievable – สามารถทำได้จริง ]ทุกเป้าหมายที่ตั้งต้องอยู่บนความเป็นจริง ! โดยคุณต้องประเมินได้ว่าเป้าหมายที่ตั้งขึ้นมา สามารถทำให้เกิดขึ้นจริงได้หรือไม่ ?ยกตัวอย่างเช่น คุณตั้ง Goal ให้กับทีมว่า “ต้องการเพิ่มรายได้ให้กับบริษัทจำนวน 1 ล้านบาท ภายใน 1 อาทิตย์” นับเป็นการตั้งเป้าหมายที่เป็นไปได้ยากสำหรับตัวคุณและทีม จนอาจทำให้เกิดความกดดันที่มากเกินไปได้ !------------------------------------[ R = Relevant – สมเหตุสมผลหรือสอดคล้องกับธุรกิจ ]เป้าหมายที่ตั้งขึ้นมาจำเป็นต้องสอดคล้องกับความต้องการหรือ Vision, Mission ของธุรกิจ ! โดย Goals เหล่านั้นสามารถเป็นได้หลากหลายอย่าง ไม่ใช่แค่เรื่องของรายได้ของธุรกิจเท่านั้น เช่น ธุรกิจของคุณต้องการให้มีผู้ติดตามบน Facebook ถึง 10K ภายในระยะเวลา 6 เดือน ซึ่งก็นับเป็นอีก 1 Goal ที่จะสร้างการรับรู้และชื่อเสียงให้กับธุรกิจของคุณนั่นเอง------------------------------------[ T = Time-Bound – จำกัดระยะเวลา ]การกำหนดเวลาที่ชัดเจนให้กับทุก Goals ที่ตั้งไว้นับเป็นอีกทางที่จะช่วยผลักดันให้คุณและทีมเร่งลงมือทำให้เป้าหมายนั้นเกิดขึ้นจริงได้ในเวลาที่กำหนด รวมถึงยังช่วยให้คุณและทีมสามารถ Focus เป้าหมายนั้นจนสามารถไปให้ถึงเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

ตั้ง Goal ธุรกิจอย่างไร ให้ธุรกิจเติบโตไปได้ถูกทาง

<img src="https://storage.googleapis.com/stg-big-blue-ocean-storage/uploads/ESG_f44a1d038d/ESG_f44a1d038d.png" alt="ESG.png">ESG คืออะไร ? แนวคิดในการสร้างความยั่งยืนให้กับโลกและเป็นแนวทางสร้างความยั่งยืนสู่ธุรกิจ เพิ่มโอกาสการสร้างผลตอบแทนที่สม่ำเสมอได้ในระยะยาว พร้อมทั้งนำมาปรับใช้เพื่อสร้างสมดุลให้ธุรกิจ และไม่เบียดเบียนทรัพยากรในอนาคต ESG มาจากอะไร ? Environmental:&nbsp;ใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ ฟื้นฟูสภาพแวดล้อมที่ถูกทำลายไป Social:&nbsp;บริหารทรัพยากรบุคคลอย่างเท่าเทียม ใส่ใจความเป็นอยู่ของสังคม Governance:&nbsp;ส่งเสริมการกำกับดูแลกิจการที่ดี มีการบริหารความเสี่ยงที่ชัดเจน ต่อต้านการทุจริต&nbsp;/ คอรัปชั่นปรับใช้แนวคิด&nbsp;ESG&nbsp;กับธุรกิจอย่างไรดี&nbsp;?<ul><li>จัดตั้งทีม&nbsp;ESG&nbsp;เพื่อกำกับดูแลโดยตรง เพื่อดึงผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางเข้ามาพัฒนาและดูแลโครงการ</li><li>จัดลำดับความสำคัญในการทำ ESG เลือกหัวข้อที่นำมาวิเคราะห์ใน&nbsp;ESG&nbsp; Framework&nbsp;ให้ตรงกับสิ่งที่บริษัทมุ่งเน้น</li><li>ตั้งเป้าหมาย&nbsp;SMART Goals&nbsp; เพื่อใช้สร้าง&nbsp;Roadmap&nbsp;ให้บริษัทใช้ในการทำ&nbsp;ESG&nbsp;โดยต้องมีความเฉพาะเจาะจง,&nbsp;สามารถวัดผลได้,&nbsp;บรรลุผลได้จริง และต้องมีการจำกัดเวลาของเป้าหมายอย่างชัดเจน</li><li>ปรับ&nbsp;ESG&nbsp;ให้เป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมองค์กร เพื่อสร้างจิตสำนึกในเรื่องของ&nbsp;ESG&nbsp;ให้กับพนักงานทุกระดับ และเป็นการสร้างการเปลี่ยนแปลงภายในองค์กรในระยะยาว</li><li>รายงานความก้าวหน้าอย่างสม่ำเสมอ เพื่อเป็นการแสดงความโปร่งใสขององค์กร และสร้างการยอมรับเป้าหมาย&nbsp;ESG&nbsp;ให้แข็งแกร่งขึ้น</li><li>สื่อสารหลัก&nbsp;ESG&nbsp;ให้สอดคล้องกับตัวแบรนด์ ต้องแน่ใจว่าหลัก&nbsp;ESG&nbsp;ที่นำมาใช้ มีความสอดคล้องกับวิสัยทัศน์&nbsp;(Vision)&nbsp;และทิศทางของแบรนด์ในอนาคต</li></ul>เป้าหมายการก้าวเข้าสู่ Net Zero&nbsp;ภายในปี&nbsp;2050&nbsp;ของประเทศไทย และการมุ่งสู่การพัฒนาสังคมให้ก้าวหน้า สามารถเริ่มต้นได้จากการนำหลัก&nbsp;ESG&nbsp;มาปรับใช้กับธุรกิจให้ตรงจุด เพื่อสร้างธุรกิจให้เติบโตพร้อมกับการสร้างความยั่งยืนให้กับโลกของเรา

ESG แนวคิดที่ธุรกิจยุคใหม่ ไม่ควรมองข้าม

<img src="https://storage.googleapis.com/prod-big-blue-ocean-storage/uploads/CRM_0caf20f930/CRM_0caf20f930.png" alt="CRM.png"><img src="https://static.xx.fbcdn.net/images/emoji.php/v9/taa/1.5/16/1f449.png" alt="👉"> พามารู้จักกับ CRM ( Customer Relationship Management ) ตัวช่วยที่จะทำให้คุณเข้าใกล้ลูกค้าได้อีก ‘มากกว่าแค่ 1 ก้าว’ ระบบ CRM แน่นอนว่าสร้างมาเพื่อทีม Sales และทีม Marketing ซึ่งนับว่ามีประโยชน์ต่อการเติบโตของธุรกิจมาก ! สำหรับทีม Sales สามารถเลือกใช้ CRM ในการติดตามดูกลุ่มลูกค้าเป้าหมายว่ามีการตอบโต้กับแบรนด์อย่างไรบ้าง โดยจะมีการอัพเดตข้อมูลอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้ทีมนักขายสามารถนำมาปรับใช้สำหรับเทคนิคการขายที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้มากกว่าเดิม นอกจากนี้สำหรับทีม Marketing เอง CRM ก็ถือว่ามีประโยชน์หลากหลายด้านเช่นกัน CRM จะเข้ามาช่วยเรื่องการทำ Marketing ของแบรนด์ได้จริงหรือ ? พาเปิด 3 ด้านที่ CRM จะเข้ามาช่วยทำ Marketing ให้ตอบโจทย์มากกว่าเดิม <img src="https://static.xx.fbcdn.net/images/emoji.php/v9/t5/1.5/16/1f4cc.png" alt="📌"> ใช้ CRM คุยกับลูกค้าผ่านเมลได้ง่ายกว่าเดิม ! - แบ่งกลุ่มลูกค้าตามฐานข้อมูลได้ง่ายและเป็นระเบียบมากยิ่งขึ้น - สร้าง CTA (Call to action) ที่ต่างกันในการคุยกับลูกค้าแต่ละกลุ่ม โดยใช้ข้อมูลของลูกค้าที่มีอยู่มาเป็นตัวช่วย - ประหยัดเวลาได้มากกว่า ! เพราะไม่ต้องคอย import/export ข้อมูลติดต่อของลูกค้าเข้ามาในเมลอีกต่อไป ------------------------------------------ <img src="https://static.xx.fbcdn.net/images/emoji.php/v9/t5/1.5/16/1f4cc.png" alt="📌"> ใช้ทำการตลาดเพื่อมัดใจลูกค้าผ่านทางออนไลน์ ทุกวันนี้แทบจะไม่มีแบรนด์ไหนไม่โปรโมทสินค้า, บริการ, ธุรกิจ ผ่านทาง Social Media ซึ่งแน่นอนว่าการผลิตคอนเทนท์ดีๆ เป็นเรื่องสำคัญ แต่บอกเลยว่า ‘แค่คอนเทนท์ยังไม่พอ’ ระบบ CRM จะเข้ามาช่วยให้คุณสามารถมองเห็นการตอบโต้ของลูกค้าได้ ซึ่งนั่นสามารถช่วยให้คุณเตรียมพร้อมสำหรับการหาวิธีมัดใจลูกค้าได้ตรงจุดมากยิ่งขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นคุณยังสามารถใช้ CRM เพื่อค้นหา หัวข้อ, Hashtag รวมถึงเหล่า Influencer ที่กำลังเป็นที่สนใจของกลุ่มลูกค้าของคุณได้อีกด้วย บอกเลยว่า CRM เป็นตัวช่วยให้คุณสามารถหาทางมัดใจลูกค้าทั้งเก่าและใหม่ได้ตอบโจทย์มากกว่าที่เคยแน่นอน ! ------------------------------------------ <img src="https://static.xx.fbcdn.net/images/emoji.php/v9/t5/1.5/16/1f4cc.png" alt="📌"> CRM ช่วยคุณยิง Ads ได้ตรงเป้ายิ่งกว่าเดิม ! ระบบ CRM จะช่วยให้คุณยิงโฆษณาไปได้ถูกกลุ่ม และเฉพาะเจาะจงมากยิ่งขึ้น คุณจะสามารถมีโฆษณาที่เชื่อมโยงกับความสนใจของลูกค้าได้ตรงจุด พร้อมทั้งสร้างความประทับใจที่มากกว่าแค่การยัดโฆษณาในรูปแบบที่ลูกค้าไม่สนใจแต่เห็นบ่อยจนอาจเกิดความรำคาญได้นั่นเอง ------------------------------------------ บอกเลยว่าแค่คุณลองหันมาศึกษาและใช้ CRM คุณก็จะสามารถเป็น Sales และ Marketing ที่เข้าใจลูกค้าได้มากกว่าเดิม แต่ถึงแม่ว่า CRM จะเข้ามาช่วยให้การทำงานของคุณเร็วขึ้นได้แบบอัตโนมัติ แต่ก็ไม่ได้ช่วยได้เสมอไป คุณต้องรู้จักเลือกใช้ให้ถูกจุด มารอติดตามกันต่อในคอนเทนท์ต่อไปกันว่า CRM Software ตัวไหน เหมาะจะใช้กับธุรกิจของคุณได้บ้าง..

CRM Software ตัวช่วยยุคใหม่ ให้ Marketer สบายกว่าเดิม

<img src="https://storage.googleapis.com/stg-big-blue-ocean-storage/uploads/8transform_company_b6b9f761e8/8transform_company_b6b9f761e8.png" alt="8transform-company.png">การ Transform องค์กรจะเป็นไปได้นั้นต้องอาศัย โครงสร้างองค์รกรที่รองรับ การเตรียมพร้อมด้านเทคโนโลยีที่สามารถตอบโจทย์การปรับเปลี่ยน และการบริหารจัดการการเปลี่ยนแปลงที่ดี ซึ่งในด้านการวางรากฐานโครงสร้างองค์กรนั้นมี 8 ข้อดังนี้1) Establish And Verify Clear Benchmarks (การกำหนดเกณฑ์การชี้วัดที่ชัดเจน)หนึ่งในวิธีการป้องกันความล้มเหลวของการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล คือ การกำหนดเกณฑ์มาตรฐานตามประสบการณ์ของผู้ใช้งาน (User Experience) และประสิทธิภาพการทำงาน (Performance) โดยควรกำหนดตัวชี้วัดเหล่านี้ทั้งก่อนและหลังการ Transform องค์กร เมื่อเราสามารถเห็นเกณฑ์ชี้วัดได้อย่างชัดเจนจึงจะนำไปเป็นหลักการตัดสินใจจัดสรรเงินลงทุนในแต่ละส่วนได้อย่างเหมาะสม2) Start With the CX And Work Inward (เริ่มต้นด้วยประสบการณ์ของลูกค้าแล้วปรับการทำงานตาม)ผู้นำควรมองแผนการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลโดยยึดจากประสบการณ์ของลูกค้า (Customer Experience) เมื่อเข้าใจความต้องการที่แท้จริงของลูกค้าแล้วจึงค่อยๆปรับเปลี่ยนการทำงานให้ตอบโจทย์ คุณอาจพบว่าเพียงเปลี่ยนกระบวนการหรือระบบแค่บางส่วนไปเป็นดิจิทัล ก็อาจจะสร้างความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่แก่องค์กรได้3) Adopt Agile Methodology (ใช้แนวคิดการทำงานแบบ Agile)การนำแนวคิดการทำงานแบบ Agile ที่มุ่งเน้นลูกค้าเป็นศูนย์กลาง (Customer-centric) เข้ามาใช้ในองค์กรช่วยให้การเปลี่ยนแปลงเป็นไปได้เร็วมากขึ้น การทำงานแบบ Aglie สามารถช่วยให้เกิดการพัฒนาซ้ำๆ จัดลำดับความสำคัญของโครงการสอดคล้องกับความต้องการของลูกค้า และส่งเสริมการปรับปรุงอย่างต่อเนื่องได้อย่างมีประสิทธิภาพ4) Break Down Silos Between Business and Tech (ทลายกำแพงการเข้าถึงแหล่งข้อมูล)ปัจจุบันฝ่ายงานบริหารในองค์กรต้องการการเข้าถึงข้อมูลที่มากขึ้น แต่มีหลายครั้งที่ข้อมูลเหล่านั้นถูกปิดกั้นการเข้าถึงในด้านเทคโนโลยี แม้การเก็บข้อมูลแบบ Data Silos จะมีข้อดีแต่ก็ขัดขวางประสิทธิภาพการทำงานด้วยเช่นกัน การค่อยๆ ทลายกำแพงการเข้าถึงข้อมูล จะช่วยเสริมศักยภาพการทำงาน และยังทำให้เกิดความโปร่งใสในองค์กรด้วย5) Begin Platform Onboarding with Just One or Two Teams to Start (เริ่มต้นการนำแพลตฟอร์มมาใช้กับ 1-2 ทีม)เมื่อปรับเปลี่ยนธุรกิจมาบนแพลตฟอร์ม ควรเร่ิมต้นกับ 1-2 ทีมเพื่อเริ่มทดลองและปรับปรุงการใช้งานก่อนที่จะขยายไปขอบเขตที่ใหญ่ขึ้น และทีมพัฒนาจะมีแรงผลักดันอย่างมากในการปรับใช้แพลตฟอร์มดังกล่าว เมื่อได้เห็น 1-2 ทีมประสบความสำเร็จกับแพลตฟอร์มก็จะช่วยสร้างแรงจูงใจให้ผู้อื่นทำตามต่อไป6) Embrace Technical Partnerships (เปิดรับความร่วมมือทางเทคนิค)มองหาพาร์ทเนอร์ด้านเทคโนโลยีเพื่อเร่งการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลและโอกาสใหม่ๆ ปรับใช้เทคนิคต่างๆ ที่เหมาะสมกับองค์กร เช่น ส่งเสริมให้องค์กรมีวัฒนธรรมการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง การทำ Feedback Loop การตัดสินใจที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล เป็นต้น7) Implement KPIs To Monitor Progress (นำเอา KPI มาใช้เพื่อติดตามความคืบหน้า)ปัญหาสำคัญที่องค์กรพบในการเปลี่ยนแปลงดิจิทัลคือการวัดผลลัพธ์ ผู้นำจำเป็นต้องมีตัวชี้วัดความสำเร็จและวิเคราะห์ข้อมูลเป็นประจำ เพื่อนำมาปรับปรุงและวางกลยุทธ์การเปลี่ยนแปลงองค์กรต่อไป8) Reduce The Steps And/or Software Required for Common Workflows (ลดขั้นตอนในการทำงานทั่วไป)คนส่วนใหญ่มีการทำงานเป็นขั้นตอนผ่านเครื่องมือและซอฟต์แวร์ที่ถูกกำหนด การเปลี่ยนแปลงองค์กรดิจิทัลควรมัดรวมกิจกรรมที่สัมพันธ์เข้าด้วยกันบนระบบที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัย จะช่วยให้ลดขั้นตอนทำงาน ลดการจัดเก็บข้อมูลซ้ำซ้อน และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน

8 รากฐานสำคัญในการปรับโครงสร้างองค์กร

<img src="https://storage.googleapis.com/stg-big-blue-ocean-storage/uploads/5transform_05d3b49586/5transform_05d3b49586.png" alt="5transform.png">ในการเปลี่ยนแปลงเสริมศักยภาพ หรือ Transform องค์กร นอกจากองค์กรจะต้องมีโครงสร้างที่รองรับแล้ว ยังต้องมีเทคโนโลยีพร้อมรองรับการเปลี่ยนแปลงด้วย มาดู 5 ข้อสำคัญที่จะช่วยการเตรียมพร้อมด้านเทคโนโลยีให้กับองค์กร 1) ประยุกต์ใช้เครื่องมือ Low-Code And No-Code วิธีที่ง่ายที่สุดในการเร่งการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล คือ การใช้แอปพลิเคชันที่ช่วยการเขียนโค้ดให้น้อยที่สุดหรือไม่มีโค้ดเลย และ การประยุกต์ใช้ประโยชน์จากความสามารถของ AI ตัวอย่างเช่น ปัจจุบันหลายองค์กรใช้ Microsoft Power Platform เพื่อทำระบบอัตโนมัติ และสร้างโซลูชันดิจิทัลสำหรับผู้ใช้ทางธุรกิจที่ไม่มีพื้นฐานทางไอที หรือแม้แต่ ChatGPT ก็สามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้พนักงานในองค์กรทำโปรเจกต์ที่ยาก ๆ ได้สำเร็จ อันจะเป็นประโยชน์ต่อธุรกิจของคุณอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ&nbsp; 2) Focus First On Better-Quality Data (เน้นที่คุณภาพอันดับแรก) การเปลี่ยนแปลงองค์กรควรเร่ิมต้นที่ข้อมูลที่มีคุณภาพ การเน้นในด้านข้อมูลที่มีคุณภาพจะทำให้ผลลัพธ์ของกิจกรรมต่าง ๆ ออกมาอย่างแม่นยำ มีคุณค่า และหวังผลได้3) Leverage Data-Centric Security (เน้นที่ความปลอดภัยของข้อมูลเป็นศูนย์กลาง) แต่ละขั้นตอนของการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลควรช่วยเพิ่มความคล่องตัวของธุรกิจ ในอดีตข้อจำกัดของความปลอดภัยทางไซเบอร์คือมักจะถูกขัดขวางการดำเนินงานบนเครือข่ายที่ไม่น่าเชื่อถือ การเน้นที่การรักษาความปลอดภัยของข้อมูลเป็นศูนย์กลางในรูปแบบต่างๆ เช่น Zero Trust เป็นแนวทางอันหนึ่งที่ช่วยเพิ่มความคล่องตัวและทำให้การทำงานรวดเร็วมากขึ้น 4) Move To The Cloud (ย้ายไปยัง Cloud)&nbsp; การใช้ประโยชน์จากการประมวลผลแบบคลาวด์เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพสำหรับองค์กรในการเร่งการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลและบรรลุความสำเร็จ ธุรกิจต่างๆ สามารถปรับขนาด ความยืดหยุ่น และความคุ้มค่าโดยการย้ายโครงสร้างพื้นฐาน แอปพลิเคชัน และข้อมูลไปยังระบบคลาวด์ นอกจากนี้ การเข้าถึงเครื่องมือและเทคโนโลยีที่หลากหลายยังเกิดขึ้นได้ด้วยบริการคลาวด์ ซึ่งจะช่วยเร่งกระบวนการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลได้ 5) Establish A Modular Foundation (สร้างโมดูลาร์บนพื้นฐานเดียวกัน) การเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลอย่างรวดเร็วควรใช้รากฐานโมดูลาร์แบบเดียวกัน ซึ่งต้องใช้เวลาในการสร้าง แต่เมื่อนำไปใช้แล้วจะช่วยให้สามารถใช้ฟังก์ชันการทำงานซ้ำทั่วทั้งองค์กรเพื่อวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกันได้ ยกตัวอย่างเช่น ใช้ในระบบการชำระเงิน ใช้ในระบบการติดต่อสื่อสาร &nbsp;และด้วยโครงสร้างโมดูลาร์แบบเดียวกันนี้จะช่วยให้ การบำรุงรักษา และการอัพเกรดทั่วถึงทั้งองค์กรได้อย่างง่ายดาย

5 ข้อสำคัญ เตรียมความพร้อมด้านเทคโนโลยี เมื่อจะ Transform องค์กร

<img src="https://storage.googleapis.com/stg-big-blue-ocean-storage/uploads/Business_Goal_2f568ab94b/Business_Goal_2f568ab94b.png" alt="BusinessGoal.png"><h3>“Warren Buffett” หนึ่งในคนที่ขึ้นชื่อว่ารวยที่สุดในโลก กับกฎแห่งความสำเร็จอย่าง 5/25 Rule</h3>กฎแห่งความสำเร็จนี้มีเพียงแค่ 3 Steps ง่ายๆ นับเป็นเหมือนแบบฝึกหัดที่ใครก็สามารถนำไปปรับใช้ได้ในชีวิตประจำวัน เมื่อคุณสามารถทำแบบฝึกหัด 5/25 Rule จบได้ คุณจะมองเห็นเป้าหมายในชีวิตได้ชัดขึ้น และมองเห็นถึงวิธีที่จะไปให้ถึงเป้าหมายนั้นได้เร็วกว่าเดิม --------------------------------------&nbsp;STEP 1 List your goalsเพียงแค่คุณเขียนเป้าหมายที่คุณมองไว้ในระยะยาวออกมาทั้งหมด 25 ข้อ โดยสามารถเขียนออกมาภายใน 1 วันหรือ 1 อาทิตย์ ตามที่คุณสะดวกได้เลย&nbsp;STEP 2 Check your goalsเมื่อคุณเขียนเป้าหมายที่สำคัญของคุณออกมาได้ครบทั้ง 25 ข้อแล้ว ให้คุณกลับมาเช็คดูอีกครั้ง พร้อมทั้งลองพิจารณาดูว่าเป้าหมายไหน “สำคัญมากที่สุด 5 อันดับแรก” พร้อมทั้งวงกลมทั้ง 5 เป้าหมายนั้นเอาไว้ตอกย้ำตัวเองSTEP 3 Achieve your goalsWarren Buffett ได้บอกเอาไว้ว่าเมื่อคุณได้ทั้ง 5 เป้าหมายหลักของชีวิตคุณแล้ว“คุณต้องทุ่มทั้งเวลาและพลังงานทั้งหมดลงไปกับ 5 เป้าหมายนั้นอย่างจริงจัง !” พร้อมทั้งไม่หลุดโฟกัสไปสนใจอีก 20 เป้าหมายที่เหลือระหว่างนั้นเด็ดขาด--------------------------------------เพราะเมื่อไรที่ตัวเราเลือกโฟกัสหลายสิ่งไปพร้อมกัน เราจะไม่สามารถทำสิ่งไหนให้ออกมาดีที่สุดได้เลย..เป้าหมายรองจะเป็นตัวดึงความสนใจและความทุ่มเทของคุณออกไปจากเป้าหมายหลัก จนทำให้คุณไม่สามารถโฟกัสและทำสิ่งที่คุณมองว่า “สำคัญ” ให้สำเร็จตามที่หวังไว้ได้แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าอีก 20 เป้าหมายจะไม่สามารถสำเร็จได้นะ !เมื่อคุณสามารถทำให้ทั้ง 5 เป้าหมายสำคัญสำเร็จได้ตามที่คุณตั้งเป้าไว้ได้แล้ว จากนั้นคุณก็สามารถกลับไปดูอีก 20 lists ที่เหลืออยู่ แล้วเลือกวงอีก 5 เป้าหมายสำคัญถัดไปมาเพื่อทำให้สำเร็จตามไปได้ ถึงแม้ว่าคุณจะไม่สามารถสำเร็จได้ครบทุกเป้าหมายที่คุณตั้งเอาไว้ แต่คุณก็จะได้รู้จักการโฟกัส ทุ่มเท และให้ความสำคัญกับเป้าหมายของชีวิตไปที่ละอย่างได้ และนั่นจะทำให้คุณรู้สึกว่าคุณประสบความสำเร็จได้มากกว่าเดิมแน่นอน !

กฎแห่งความสำเร็จ 5/25 Rule

<img src="https://storage.googleapis.com/stg-big-blue-ocean-storage/uploads/5_Trend_115d5e86fa/5_Trend_115d5e86fa.png" alt="5Trend.png"> เทรนด์ใหม่ที่น่าจับตาเพื่อการปรับตัวที่ทันต่อทุกการเปลี่ยนแปลงของโลกธุรกิจในปี 2024 ที่กำลังจะมาถึง นับเป็นปีที่เตรียมเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญที่หลากหลายหน่วยงานจะหันมาต่อสู้กับสภาพอากาศที่จะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ รวมถึงความเสื่อมโทรมของสิ่งแวดล้อมที่กำลังจะแย่ลงอีกด้วย__________________________________________เทรนด์ที่ 1 The Rise of Climate Fintech&nbsp; เป็นเทรนด์แห่งการผสมผสานเทคโนโลยีทางด้านการเงิน ให้เข้ากับหลักความยั่งยืน ส่งผลให้เกิดแหล่งเงินทุนสำคัญที่เอื้อต่อการเปลี่ยนผ่านสู่ “ยุคเศรษฐกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม” มากกว่าที่เคย ซึ่งตัวอย่างของการลงทุนที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เช่น ‘กองทุนพันธบัตรสีเขียว’ เป็นอีกส่วนที่ทำให้เกิดการลงทุนที่มีความรับผิดชอบต่อสภาพแวดล้อม และช่วยให้เกิดการสนับสนุนทางการเงินสำหรับโครงการที่มีส่วนช่วยลดก๊าซคาร์บอนมากขึ้นอีกด้วยFintech ที่ช่วยทางด้านสภาพอากาศนับเป็นการเปลี่ยนความใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อมให้กลายเป็นผลกำไรทางเศรษฐกิจ โดยบริษัทร่วมลงทุน (Venture Capital) ได้มองเห็นถึงศักยภาพด้านการเปลี่ยนแปลงนี้ จนทำให้เกิดการเสนอแนวทางเชิงกลยุทธ์ที่จะช่วยให้ Start-up เชิงนวัตกรรมสามารถขยายอิทธิพล และขอบเขตการดำเนินงานได้เร็วขึ้น พร้อมทั้งยังมีการผสานข้อมูลทางธุรกิจขนาดใหญ่เข้ากับ AI เพื่อปูทางสำหรับกลยุทธ์การลงทุนที่แข็งแกร่งและรองรับอนาคตได้มากยิ่งขึ้น__________________________________________เทรนด์ที่ 2 The Acceleration of Disclosures Preparation&nbsp; เป็นเทรนด์ที่มาเพื่อสร้างการเปิดเผยข้อมูลของบริษัท ซึ่งจะแบ่งเป็นส่วนที่เกี่ยวข้องกับ Corporate Sustainability Reporting Directive (CSRD) ในสหภาพยุโรป และSecurities and Exchange Commission (SEC) ในสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นเรื่องที่ทุกธุรกิจไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้&nbsp;🔹 CSRD จะเข้ามาช่วยในการเปิดเผยข้อมูลของบริษัทที่เกี่ยวข้องในด้านความยั่งยืน พร้อมทั้งบริษัทอื่นๆ ในยุโรป ที่ต้องมีการดำเนินการเปิดเผยข้อมูลของบริษัทที่ส่งผลในด้านสิ่งแวดล้อม ด้านสังคม และด้านการเตรียมรับมือหรือจัดการความเสี่ยงพร้อมทั้งมองหาโอกาสในการสร้างแนวทางด้านการสร้างความยั่งยืนให้กับบริษัทและโลกมากขึ้นอย่างไร?&nbsp;🔹 SEC ก็ได้มีการเสนอกฎด้านการเปิดเผยข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับสภาพภูมิอากาศว่าบริษัทจะมีการเพิ่มหรือส่งเสริมด้านการดำเนินธุรกิจที่ยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้นอย่างไร? ซึ่งแต่ละบริษัทที่มีความเกี่ยวข้องกับสภาพแวดล้อมตามที่กล่าวมานี้ ต้องมีการรวบรวม จัดการ และรายงานข้อมูลในด้านต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับความยั่งยืน (Sustainability) โดยใช้หลัก ESG (Environment, Social and Governance) ในการจัดการและบริหารข้อมูล พร้อมทั้งใช้เพื่อเป็นเครื่องมือและบริการที่ออกแบบมาเพื่อช่วยสรุปข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อมให้ธุรกิจได้ง่ายมากยิ่งขึ้น__________________________________________เทรนด์ที่ 3 Emissions Scrutiny&nbsp; เป็นเทรนด์ในด้านการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของบริษัทที่อยู่ในขอบเขตที่ 3 (Scope 3) ซึ่งเป็นการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อม เช่น จากการเดินทางเพื่อธุรกิจ การจัดซื้อ ของเสียจากธุรกิจ เป็นต้น ซึ่งจากกิจกรรมเหล่านี้มักจะเป็นแหล่งปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ใหญ่ที่สุด เนื่องจากบริษัทที่อยู่ใน Scope 1 และ 2 ได้รับการควบคุมโดยทางบริษัทโดยตรงจึงไม่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เกินกำหนด ซึ่งจากความต้องการที่เพิ่มขึ้นในเรื่องการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในห่วงโซ่อุปทานกำลังถูกขับเคลื่อนนวัตกรรมในการออกแบบผลิตภัณฑ์ โลจิสติกส์ และวัสดุ ซึ่งนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของการปรับปรุงเรื่องความยั่งยืน (Sustainable) ทั่วทั้งอุตสาหกรรม__________________________________________เทรนด์ที่ 4 Climate Risk Management&nbsp; เทรนด์ที่เกิดขึ้นจากเหตุการณ์การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศทั่วโลกที่ถี่มากยิ่งขึ้น ควบคู่ไปกับความต้องการในการเปลี่ยนเข้าสู่โลกเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ ทำให้เกิดความเสี่ยงต่อสินทรัพย์ การลงทุน และการดำเนินงานของแต่ละบริษัท ซึ่งจากเหตุการณ์สภาพอากาศเปลี่ยนแปลงในปีนี้ ส่งผลให้ปี 2024 ต้องมีการจัดการความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศ (Climate Risk Management) อย่างจริงจังและครอบคลุมมากยิ่งขึ้น ในแต่ละบริษัทต้องมีการวิเคราะห์ความเสี่ยงจากสถานการณ์ของสภาพภูมิอากาศ เพื่อทำความเข้าใจแต่เตรียมตัวสำหรับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับธุรกิจภายใต้สถานการณ์ภาวะโลกร้อนที่แตกต่างกัน ทั้งหมดนี้ไม่เพียงแค่ช่วยลดความเสี่ยงให้กับบริษัทเท่านั้น แต่ยังอาจเป็นการสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ สำหรับนวัตกรรมและการปรับตัว รวมถึงเทรนด์นี้ยังส่งผลให้เกิดการเพิ่มยอดขายของประกันภัยสำหรับผลิตภัณฑ์ที่ปรับให้เหมาะสมกับความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศมากขึ้นอีกด้วย__________________________________________เทรนด์ที่ 5 AI for Sustainability&nbsp; อย่างที่เราทราบกันดีว่าทุกวันนี้ AI เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งที่สามารถช่วยให้ชีวิตประจำวันเราง่ายมากขึ้น ซึ่ง AI ยังเป็นเครื่องมือที่สามารถรับมือกับความท้าทายด้านความยั่งยืนที่ซับซ้อนได้ ซึ่งในปี 2024 นี้ AI จะถูกนำมาปรับใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของการใช้ทรัพยากร และปรับปรุงประสิทธิภาพของการใช้พลังงานให้แม่นยำมากยิ่งขึ้น ซึ่งนับเป็นการลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมได้อย่างตรงจุด นอกจากนี้ AI ยังสามารถช่วยวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่สำหรับวิทยาศาสตร์ด้านสิ่งแวดล้อม ที่จะช่วยเพิ่มความเข้าใจเกี่ยวกับระบบนิเวศและผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้อีกด้วยนอกจากนี้ AI ยังคาดว่าจะเข้ามาทำให้การจัดการข้อมูล ESG ง่ายมากยิ่งขึ้น โดยจากเทรนด์ที่ 3 เรื่องการเปิดเผยข้อมูลด้านความยั่งยืนที่จะบังคับมากขึ้นนั้น ทุกบริษัทจำเป็นต้องวิเคราะห์ข้อมูล ESG เป็นจำนวนมหาศาล ซึ่ง AI ก็จะเป็นตัวที่สามารถเข้ามาช่วยให้กระบวนการ ESG รวดเร็ว มั่นใจ และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นอีกด้วย

จับตา 5 เทรนด์รักษ์โลก เปลี่ยนโลกธุรกิจสู่ความยั่งยืนกว่าที่เคย

<img src="https://storage.googleapis.com/prod-big-blue-ocean-storage/uploads/Taobin_5bddab26b0/Taobin_5bddab26b0.png" alt="Taobin.png">ถ้าพูดถึง “ตู้เต่าบิน” แน่นอนว่าคงไม่มีใครไม่รู้จัก Café 24 ชั่วโมง ที่เคลื่อนย้ายไปติดตั้งที่ไหนก็มีคนกดดื่ม ! แล้วเคยสงสัยกันไหม ว่าทำไมตู้เต่าบินถึงโด่งดังและประสบความสำเร็จมาไกลได้ขนาดนี้ ? ------------------------------------------------ คุณ เต๋า พงษ์ชัย อมตานนท์ เจ้าของบริษัท ฟอร์ท สมาร์ท เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือผู้เป็นเจ้าของตู้บุญเติมที่อยู่คู่คนไทยมาอย่างยาวนาน ได้ให้สัมภาษณ์เอาไว้ว่า “ไอเดียตู้เต่าบิน” เริ่มต้นขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2563 ในยุคที่โควิด-19 ระบาด ทำให้มองเห็นถึงโอกาสจากการที่คนต่างหันมาเว้นระยะห่างกันอย่างจริงจัง จนเกิดเป็นไอเดียของ “ตู้อัตโนมัติ” ขึ้น&nbsp; . ผู้ที่มาสานต่อไอเดียคนสำคัญคือ คุณ ตอง วทันยา อมตานนท์ ตำแหน่ง Business Development Executive และ Chief Product Officer ลูกสาวของคุณเต๋า ผู้มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาตู้เต่าบินและเป็นส่วนสำคัญในการคิดค้นเมนูสุดหลากหลายร่วมกับบาริสต้ามืออาชีพ ซึ่งคุณตองเน้นย้ำว่า “ตู้เต่าบิน” ต้องสามารถสร้างสรรค์รสชาติเครื่องดื่มที่อร่อย ด้วยวัตถุดิบคุณภาพดีและสดใหม่ เพื่อทำให้เครื่องดื่มที่ผลิตจากตู้เต่าบินสามารถเทียบเท่ากับคาเฟ่ดังได้ในที่เดียว พร้อมทั้งเมนูสุดหลากหลายยังถูกตั้งราคาตามความเหมาะสม เริ่มต้นเพียงแก้วละ 15 บาทไปจนถึง 60 บาท ซึ่งเป็นราคาที่จับต้องได้ ทำให้สามารถขยายไปสู่กลุ่มผู้บริโภคได้หลากหลายมากยิ่งขึ้น . “ตู้เต่าบิน” มีเมนูให้เลือกมากมายพร้อมทั้งเป็นเมนูที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มลูกค้าได้ทุกเพศทุกวัย ไม่ว่าจะเป็นเมนูกาแฟหรือน้ำหวาน ไปจนถึงเมนู Protein Shake ที่เหมาะสำหรับคนรักสุขภาพ ตู้เต่าบินไม่เคยหยุดพัฒนาเมนูใหม่ๆ มีการรองรับความต้องการที่แตกต่างในทุกๆ จุด ทั้งระดับความหวานที่มีให้เลือกกว่า 5 ระดับ ความเข้มของเมล็ดกาแฟ และส่วนสำคัญที่ทำให้รสชาติเต่าบินยังอร่อยไม่มีเปลี่ยนคือการนำเทคโนโลยี Robotic Vending Machine เข้ามาช่วยในการควบคุมคุณภาพของรสชาติที่ไม่ว่าคุณจะไปกดตู้ไหนก็ยังได้รสชาติความอร่อยที่เหมือนเดิม พร้อมกับการออกแบบ UX/UI ที่มาเพื่อตอบโจทย์ความสะดวกของลูกค้าตั้งแต่เริ่มต้นกดไปจนถึงจ่ายเครื่องดื่มเสร็จทำให้ตู้เต่าบินเข้าไปครองใจลูกค้าได้แบบเอาอยู่นั่นเอง . ปัจจุบันตู้เต่าบินมีติดตั้งไว้มากกว่า 6,000 ตู้ทั่วประเทศไทย และยังมีแผนขยายจุดติดตั้งเพิ่มขึ้นในพื้นที่ที่มีความต้องการสูงอีกในอนาคต และเมื่อไม่นานมานี้เพิ่งได้มีการเปิดตัว “เต่าบินคาเฟ่” ตั้งอยู่ที่เดอะมอลล์ บางกะปิเมื่อเดือน ธันวาคม ปี พ.ศ. 2566 ที่ผ่านมา ในรูปแบบ Pop-up store เพื่อเสริมโมเดลธุรกิจให้แข็งแกร่งมากขึ้นไปอีก

บทความ

เนื้อหาสาระเข้มข้น พร้อมเป็นตัวช่วยให้คุณ

ค้นหา

หัวข้อที่สนใจ

ไม่พบเนื้อหาที่ต้องการ

หน้าหลัก

บทความ

กิจกรรม

Exclusive Program

คอร์สเรียน

ติดต่อเรา