ถามว่าคนไทยต้องกลัว AI มาแทนที่ในตำแหน่งงานของตัวเองมากแค่ไหน

จากการพัฒนาโลกของ AI ที่ยังมีอย่างต่อเนื่องในปัจจุบันอาจทำให้คนส่วนใหญ่กังวลในเรื่อง ‘การถูก AI เข้ามาแทนที่’ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งคุณ Kristalina Georgieva หัวหน้ากองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ IMF ก็ได้บอกไว้ว่า กว่า 40% ของการจ้างงานทั่วทั้งโลกจะมีการเปลี่ยนแปลงไปไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

ซึ่งในมุมมองด้าน AI ในประเทศไทยเอง ก็มีผลกระทบและการเปลี่ยนแปลงเข้ามาไม่ต่างกัน ถึงแม้ว่าอาจช้ากว่าฝั่งตะวันตก จากปัจจัยของต้นทุนค่าแรงที่ต่ำกว่า ซึ่งฟอรัมเศรษฐกิจโลกก็ได้มีการประเมินว่าการเข้ามาแทนที่นี้ จะสร้างการเกิดใหม่ที่มากกว่าได้ โดยคาดว่า AI จะเข้ามาแทนที่แรงงานกว่า 85 ล้านตำแหน่ง แต่เทคโนโลยีนี้ก็จะเข้ามาสร้างงานใหม่ให้เกิดขึ้นกว่า 97 ล้านตำแหน่งเช่นกัน

คาดว่าในช่วงปี 2568 – 2573 ตำแหน่งงานที่จะถูก AI เข้ามาแทรกแซงมากที่สุด คือ ตำแหน่งงานที่ต้องทำแบบเดิมซ้ำๆ งานเขียนโค้ด และงานที่มีการคิดเชิงตรรกะ เช่น งานการวิจัยตลาด เป็นต้น ซึ่งในประเทศไทยเองก็คาดว่า AI จะถูกผลักดันและพัฒนามากขึ้นอีกนับตั้งแต่ปีนี้

หากถามต่อว่า “แล้วจะต้องปรับตัวยังไง เมื่อตำแหน่งของเราคือตำแหน่งที่ AI จะมาแทน ?!”
นาย อโณทัย เวทยากร กรรมการผู้จัดการและผู้นำด้านเทคโนโลยีของ IBM บอกเอาไว้ว่า เมื่อมี AI เข้ามาช่วยลดขั้นตอนการทำงาน ผู้คนจะมีเวลามากขึ้น ซึ่งเมื่อ AI สามารถเข้ามาแทนที่งานที่ทำซ้ำๆ หรืองานด้านเอกสารได้นั้น ควรมีการแนะแนวอาชีพในด้านของการทำงานที่ใช้ความคิดเชิงสร้างสรรค์ให้มากขึ้น เพื่อเพิ่มความสามารถให้ผู้คนในบริษัทให้เหนือกว่า AI และจะสามารถใช้ AI เข้ามาช่วยในการขยายขีดความสามารถของคนได้มากขึ้นนั่นเอง

จากผลการศึกษาของ IBM Institute for Business Value (IBV) ในส่วนของผู้บริหารภายในประเทศไทยประเมินว่าภายใน 3 ปีนี้ กว่า 40% ของพนักงานในประเทศไทย หรือกว่า 16 ล้านคน จะได้รับทักษะใหม่จากการนำ AI เข้ามาใช้มากขึ้น

ปฏิเสธไม่ได้ว่า.. เมื่อ AI พัฒนาและเข้ามาในวงการทำงานมากขึ้น ต้องมีการเปลี่ยนแปลงในเรื่องของการจ้างงานเกิดขึ้นอย่างแน่นอน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า AI จะเข้ามาแทนที่แรงงานของคนได้ เมื่อเราพัฒนาขีดความสามารถของคนข้างในให้เหนือกว่า และทำงานร่วมกับ AI แบบเหนือชั้นได้ในอนาคต !